3527 จำนวนผู้เข้าชม |
บทที่ 13 ศัตรู - “ความพิเศษ” (จาก The Cost of Discipleship, Dietrich Bonhoeffer)
"ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า จงรักคนสนิท และเกลียดชังศัตรู ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน ทำดังนี้แล้วท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน และให้ฝนตก แก่คนชอบธรรมและคนอธรรม แม้ว่าท่านรักผู้ที่รักท่าน จะได้บำเหน็จอะไร ถึงพวกเก็บภาษีก็ยังกระทำอย่างนั้นมิใช่หรือ ถ้าท่านทักทายแต่พี่น้องของตนฝ่ายเดียว ท่านได้กระทำอะไรเป็นพิเศษยิ่งกว่าคนทั้งปวงเล่า ถึงคนต่างชาติก็กระทำอย่างนั้นมิใช่หรือ เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ”
(มัทธิว 5:43-48)
มาถึงตอนนี้ เป็นครั้งแรกในคำเทศนาบนภูเขาที่เราพบกับคำที่สรุปคำเทศนาทั้งหมดไว้คือคำว่า “รัก”, ความรักถูกจำกัดความในบริบทที่ไม่ผ่อนปรนเลยคือการ “รักศัตรู”, ถ้าพระเยซูเพียงแค่บอกให้เรารักพี่น้องของเรา เราอาจจะเข้าใจความหมายความรักของพระองค์ผิด แต่ในที่นี้พระองค์ไม่ปล่อยให้เราสงสัยถึงความหมายของความรักของพระองค์
“ศัตรู” สำหรับสาวกไม่ใช่เป็นเรื่องนามธรรม พวกสาวกรู้จักพวกศัตรูดีมากเพราะได้พบเจอศัตรูทุกวัน ศัตรูกล่าวหาพวกเขาว่าบิดเบือนความเชื่อและละเมิดธรรมบัญญัติ ศัตรูที่เกลียดการที่พวกเขาละทิ้งทุกอย่างเพื่อติดตามพระเยซู ศัตรูที่ดูถูกและหัวเราะเยาะความอ่อนแอและถ่อมตัวของพวกเขา ศัตรูที่ข่มเหงพวกเขาเหมือนเป็นนักปฏิรูปที่อันตราย และแสวงหาที่จะทำลาย มีศัตรูบางคนที่เป็นกลุ่มผู้นำศาสนาที่ไม่พอใจคำกล่าวอ้างของพระเยซู คนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีอำนาจและมีชื่อเสียง นอกนั้นยังมีศัตรูของคนยิวทั่วไปคือรัฐบาลโรมัน เหนืออื่นใดพวกสาวกต้องต่อสู้กับความเกลียดชังที่เกิดจากการไม่ติดตามฝูงชน ซึ่งทำให้พวกเขาถูกเยาะเย้ย, ถากถาง, และข่มขู่
พระคัมภีร์เดิมไม่เคยบอกเราอย่างชัดเจนให้เกลียดศัตรู ในทางตรงข้ามมีมากกว่าหนึ่งครั้งที่บอกว่าเราต้องรักศัตรู (อพ 23:4f, สษ 25:21f, ปก 45:1ff, 1 ซม 24:7, 2 พก 6:22, ฯลฯ) แต่พระเยซูไม่ได้กำลังพูดถึงศัตรูธรรมดา แต่พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างประชากรของพระเจ้ากับโลก สงครามของอิสราเอลเป็น “สงครามศักดิ์สิทธิ์” เพราะเป็นสงครามระหว่างพระเจ้าและโลกแห่งรูปเคารพ นี่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่พระเยซูพูดถึง ความหมายที่แท้จริงในตอนนี้คือพระองค์กำลังปลดปล่อยสาวกจากการการเป็นพันธมิตรด้านการเมืองกับอิสราเอลเดิม จากนี้ต่อไปจะไม่มีสงครามเนื่องจากความเชื่ออีกต่อไป หนทางเดียวที่จะเอาชนะศัตรูคือการรักเขา
สำหรับคนปกติแล้วความคิดเรื่องการรักศัตรูเป็นสิ่งที่เกินจะทนได้และเกินกำลัง มันทำลายความคิดในเรื่องความดีความชั่วของเขา ที่สำคัญกว่านั้นสำหรับคนที่อยู่ใต้กฎบัญญัติ ความคิดนี้ขัดแย้งกับกฏของพระเจ้าที่ให้มนุษย์แยกตัวและลงโทษศัตรู อย่างไรก็ตามพระเยซูทรงถือกฎของพระเจ้าในมือและอธิบายถึงความหมายที่แท้จริง, น้ำพระทัยของพระเจ้าซึ่งอยู่ในกฎของพระเจ้าคือการที่มนุษย์ควรเอาชนะศัตรูโดยการรักพวกเขา
ในพระคัมภีร์ใหม่ศัตรูของเราคือคนที่เกลียดชังเรา คริสเตียนต้องปฏิบัติต่อศัตรูแบบพี่น้อง และตอบแทนความเกลียดชังด้วยความรัก ความประพฤติของคริสเตียนจะไม่ถูกกำหนดด้วยสิ่งที่คนอื่นปฏิบัติต่อเขา แต่โดยสิ่งที่พระเยซูปฏิบัติต่อเขา นั่นคือน้ำพระทัยของพระเยซูคริสต์
ศัตรูของเราคือคนที่ดื้อและไม่ตอบสนองต่อความรักของเรา คนที่ไม่เคยให้อภัยเราเมื่อเราให้อภัยเขาทั้งหมด คนที่ตอบแทนความรักของเราด้วยความเกลียดและการรับใช้ของเราด้วยการหัวเราะเยาะ, “เขาฟ้องข้าพระองค์แทนความรักของข้าพระองค์ ส่วนข้าพระองค์ได้อธิษฐานเท่านั้น” (สดุดี 109:4), ความรักไม่เรียกร้องสิ่งใดตอบแทน และ แสวงหาผู้ที่ต้องการมัน และใครเล่าที่ต้องการความรักของเรามากกว่าคนที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ที่ใดที่ความรักจะมีสง่าราศีเท่ากับเมื่อเธออยู่ท่ามกลางศัตรู
ความรักของคริสเตียนไม่แบ่งแยกระหว่างศัตรูและคนอื่นๆ ยิ่งศัตรูของเรามีความขมขื่นแห่งความเกลียดชังมากเท่าไหร่ เขายิ่งต้องการความรักมากขึ้นเท่านั้น คนที่ศัตรูกับสาวกของพระเยซูไม่ว่าทางการเมืองหรือทางศาสนาสามารถคาดหวังความรักที่ไม่มีขีดจำกัดจากสาวกได้ ความรักเช่นนี้ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างเรื่องส่วนบุคคลหรือเรื่องตำแหน่งหน้าที่ เราเป็นสาวกของพระเยซูทั้งในสองฐานะ ไม่เช่นนั้นเราก็ไม่เป็นคริสเตียนเลย ถ้าผมจะถามว่าจะแสดงความรักอย่างนั้นด้วยความประพฤติอย่างไร พระเยซูทรงตอบว่า ให้อวยพรเขา ทำดีต่อเขา และอธิษฐานเผื่อศัตรูของคุณอย่างไม่หยุดยั้ง
“จงรักศัตรูของท่าน” คำสั่งก่อนหน้านี้พูดแต่เพียงแค่ความอดทนต่อความชั่วร้าย แต่เมื่อมาถึงที่นี่พระเยซูไปไกลกว่านั้นโดยไม่เพียงแต่ให้เราทนต่อความชั่วหรือคนชั่ว ไม่เพียงแต่ให้เราละเว้นจากการปฏิบัติกับเขาอย่างที่เขาทำกับเรา แต่ให้เรารักเขาจากหัวใจ เราต้องรับใช้ศัตรูของเราในทุกสิ่งโดยไม่หน้าซื่อใจคดและด้วยความจริงใจ ทุกอย่างที่คู่รักสามารถจะเสียสละเพื่อกันและกันเราควรจะทำอย่างนั้นกับศัตรู ถ้าเราตั้งใจจะเสียสละสิ่งของ, เกียรติ, และชีวิตเพื่อพี่น้องของเรา เราจะต้องทำกับศัตรูของเราเหมือนกัน เราจะไม่คิดว่านี้เป็นการให้อภัยต่อความชั่วของศํตรู ความรักเช่นนี้หลั่งไหลมาจากความเข้มแข็งไม่ใช่ความอ่อนแอ จากความจริงไม่ใช่ความกลัว และใครกันเล่าที่ต้องการความรักแบบนี้ถ้าไม่ใช่คนที่เต็มด้วยความเกลียดชัง
“จงอวยพรแก่คนที่แช่งด่าท่าน” ถ้าศัตรูของเราทนเราไม่ได้อีกต่อไปและแช่งด่าเรา การตอบสนองอย่างทันทีของเราคือการยกมือขึ้นอวยพรเขา ศัตรูของเราเป็นเป้าหมายการอวยพรของพระเจ้า คำสาบแช่งของเขาไม่สามารถทำอันตรายอะไรเราได้ ขอให้ความยากจนของเขาได้รับการอวยพรจากความรุ่งเรืองขององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ซึ่งเขาแช่งสาปอย่างเปล่าประโยชน์ เราต้องพร้อมที่จะทนต่อคำแช่งด่าของเขาตราบเท่าที่มันจะเพิ่มพระพรที่พวกเขาต้องการ
“จงทำดีแก่ผู้ที่เกลียดชังท่าน” เราต้องรักไม่เพียงโดยความคิดและคำพูด แต่ด้วยการกระทำ และมีโอกาสมากมายที่เราสามารถใช้ในชีวิตประจำวัน, “ถ้าศัตรูของท่านหิว เลี้ยงดูเขา ถ้าเขากระหาย จงให้เขาดื่ม” (โรม ๑๒.๒๐), ในขณะที่พี่น้องยืนเคียงข้างกันในยามทุกข์ยากปลอบโยนกันในความเจ็บปวด ขอให้เราแสดงความรักอย่างนั้นต่อศัตรู ไม่มีการรับใช้อะไรที่จำเป็นมากกว่าหรือเป็นพระพรมากกว่าการรับใช้ศัตรู, “การให้เป็นเหตุให้มีความสุขมากกว่าการรับ”
“จงอธิษฐานเพื่อคนที่เคี่ยวเข็ญท่าน” นี่เป็นการเรียกร้องที่เหลือเชื่อ ด้วยการอธิษฐานเรายืนอยู่เคียงข้างศัตรูและทูลขอต่อพระเจ้าเพื่อเขา พระเยซูไม่ได้สัญญาว่าเมื่อเราอวยพรศัตรูและทำดีต่อเขาแล้วพวกเขาจะเลิกข่มเหงเรา พวกเขาจะทำอย่างนั้นแน่นอน แต่สิ่งนั้นจะไม่ทำให้เราเจ็บปวดหรือทำร้ายเราตราบเท่าที่เราอธิษฐานเผื่อพวกเขา เพราะถ้าเราอธิษฐานเผื่อเขาเรารับเอาความทุกข์ ความยากจน ความผิด และ ความย่อยยับของเขามาเป็นของเราและทูลขอต่อพระเจ้าเพื่อเขา เรากำลังทำเพื่อเขาในสิ่งที่เขาไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้ ทุกๆการดูถูกที่เขาพูดกับเราจะผูกพันเราให้ใกล้ชิดกับพระเจ้าและพวกเขามากขึ้น การข่มเหงของพวกเขาจะนำให้พวกเขาเข้าใกล้กับการคืนดีกับพระเจ้ามากขึ้นและจะนำมาสู่ชัยชนะของความรัก
ความรักจะชนะได้อย่างไร, ไม่ใช่ด้วยการถามว่าศัตรูปฏิบัติต่อเราอย่างไรแต่ด้วยการถามว่าพระเยซูทรงปฏิบัติต่อเราอย่างไร, ความรักศัตรูนำเราไปในทางแห่งกางเขนและเข้าสู่การสามัคคีธรรมกับพระเยซูผู้ถูกตรึงที่กางเขน ยิ่งเราเดินอยู่ในทางนี้มากเท่าไหร่ เราจะมีความมั่นใจมากขึ้นในชัยชนะของความรักต่อความเกลียดชังของศัตรู เพราะเมื่อนั้นความรักไม่ใช่เป็นความรักของตัวสาวกเอง แต่เป็นความรักของพระเยซูเท่านั้น พระองค์ผู้ไปสู่กางเขนเพื่อศัตรูของพระองค์และอธิษฐานเผื่อพวกเขาเมื่อพระองค์ถูกตรึง, ที่กางเขนนั้นพวกสาวกรู้ว่าพวกเขาเองก็เป็นศัตรูกับพระองค์ด้วย และพระองค์เอาชนะพวกเขาด้วยความรัก ด้วยสิ่งนี้ที่เปิดดวงตาของพวกสาวกและทำให้เขาสามารถมองศัตรูเป็นพี่น้องได้ สาวกรู้ว่าพวกเขาเป็นหนี้ชีวิตพระองค์ โดยถึงแม้ว่าพวกเขาเป็นศัตรูกับพระองค์แต่พระองค์ทรงถือพวกเขาเป็นพี่น้องและยอมรับพวกเขา เหล่าสาวกรู้ว่าแม้แต่ศัตรูของพวกเขาก็เป็นที่รักของพระเจ้า และศัตรูก็เหมือนพวกเขาเมื่อยืนอยู่ที่ใต้กางเขน พระเจ้าไม่ได้ถามเราถึงความดีหรือความชั่วของเรา เพราะในสายพระเนตรของพระองค์ความดีของเรานั้นไม่สมบูรณ์ ความรักของพระเจ้าแสวงหาศัตรูที่ต้องการมัน พระเจ้ารักศัตรูของพระองค์ นั่นเป็นสง่าราศีแห่งความรักของพระองค์ซึ่งสาวกทุกคนทราบดี เพราะว่าพระเจ้าทรงให้แสงแดดส่องต่อคนชอบธรรมและคนอธรรม แต่มันไม่ใช่เพียงแต่แสงแดดหรือฝนแห่งโลกเท่านั้น แต่รวมถึงแสงแดดแห่งความชอบธรรมและสายฝนแห่งพระวจนะของพระองค์ที่มาถึงคนบาป และแสดงพระคุณของพระบิดาบนสวรรค์, ความสมบูรณ์, ความรักที่กว้างขวางเป็นการกระทำของพระบิดา และเป็นการกระทำของบรรดาลูกของพระเจ้าเช่นเดียวกับเป็นการกระทำของพระบุตรองค์เดียวของพระองค์
คำสั่งให้เรารักศัตรูและไม่แก้แค้นจะเป็นสิ่งที่เร่งด่วนมากขึ้นในการต่อสู้อันบริสุทธิ์ที่รอเราอยู่ และที่เรามีส่วนร่วมบ้างมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว เวลานั้นจะมาถึงเมื่อการนับถือพระเจ้าจะนำการเกลียดชังและโกรธแค้นมาสู่โลก คริสเตียนจะถูกไล่ล่าจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ถูกทำร้ายและอาจถึงความตาย
เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการข่มเหงอย่างกว้างขวาง ศัตรูของเราพยายามที่จะกำจัดคริสตจักรและความเชื่อคริสเตียนให้หมดสิ้นไปเพราะเขาไม่สามารถจะอยู่ร่วมกับเราได้ เขามองเห็นคำพูดและการกระทำของเราเป็นคำประนามต่อคำพูดและการกระทำของเขา ความคิดของพวกเขาไม่ผิดมากนัก พวกเขาสงสัยด้วยว่าเราไม่ไส่ใจในคำประนามของพวกเขา จริงๆแล้วเขาต้องยอมรับว่ามันเสียเวลาเปล่าที่จะประนามเรา เราไม่ตอบสนองต่อความเกลียดชังและการโต้แย้ง
แม้ว่าเขาอยากจะให้เราทำอย่างนั้นเพื่อจะจมลงไปสู่ระดับเดียวกับเขา และเราจะต่อสู้กับสงครามนี้อย่างไร, ในไม่ช้าเวลาจะมาถึงเมื่อเราจะอธิษฐานไม่เพียงแต่ส่วนบุคคลแต่เป็นการอธิษฐานรวมกันของคริสตจักร เราจะอธิษฐานในชุมชนและเราจะสรรเสริญองค์พระเจ้าผู้ทรงถูกตรึง, ฟื้นคืนพระชนม์, และจะเสด็จกลับมาอีก และคำอธิษฐานหรือบทเพลงอะไรที่จะเหมาะสม มันจะเป็นคำอธิษฐานเผื่อลูกแห่งความพินาศที่อยู่รอบๆและจ้องมองเราด้วยสายตาที่เร่าร้อนด้วยไฟแห่งความเกลียดชัง และ บางคนที่ได้ยกมือฆ่าพวกเราบางคนไปแล้ว, มันจะเป็นคำอธิษฐานแห่งสันติภาพสำหรับจิตวิญญาณที่หลงผิด, ที่ถูกทำลาย, คำอธิษฐานสำหรับความรักเดียวกันที่นำความชื่นชมยินดีมาสู่เรา คำอธิษฐานที่จะฝังเข้าไปในส่วนลึกของวิญญาณพวกเขา และฉีกจิตใจของเขาอย่างรุนแรงมากกว่าสิ่งที่เขาทำต่อเรา, ใช่แล้ว, คริสตจักรที่กำลังรอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริงจะต้องสวมเสื้อเกราะแห่งความบริสุทธิ์เข้าในการอธิษฐานแห่งความรักแบบนี้
อะไรคือความรักที่ไม่มีขีดจำกัด, มันคือความรักที่ไม่แสดงเฉพาะต่อคนที่รักเราตอบ เมื่อเรารักคนที่รักเรา พี่น้องของเรา ชาติของเรา เพื่อนของเรา และสมาชิกโบสถ์ของเรา, เราก็ไม่ดีไปกว่าคนชาวโลก ความรักอย่างนี้เป็นความรักธรรมดาตามธรรมชาติ และไม่ได้เป็นความรักแบบคริสเตียน, เราสามารถรักเพื่อนร่วมชาติ ญาติ เพื่อนฝูง ไม่ว่าเราจะเป็นคริสเตียนหรือไม่ และไม่มีความจำเป็นที่พระเยซูต้องสอนเราสำหรับความรักแบบนั้น แต่ในทางตรงข้ามพระองค์ยืนยันให้เรารักศัตรู ซึ่งแสดงให้เรารู้ว่าพระองค์ทรงหมายความอย่างไรเมื่อพูดถึง “ความรัก”, และเราควรจะมีทัศนคติต่อความรักอย่างไร
สาวกแตกต่างจากคนต่างชาติอย่างไร, การเป็นคริสเตียนมีหมายความอย่างไร, ในที่นี้เราพบคำที่กำหนด มัทธิวบทนี้ทั้งบท สิ่งที่ทำให้คริสเตียนแตกต่างคือคำว่า “พิเศษ” (๕.๔๗) - perisson ความพิเศษที่อยู่เหนือความปกติทั่วๆไป, นี่คือคุณภาพของความชอบธรรมที่อยู่เหนือพวกธรรมาจารย์และฟาริสี, คุณภาพที่แตกต่างของชีวิตคริสเตียนเริ่มต้นจากความ “พิเศษ”, สิ่งนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในสภาพปกติธรรมดา ความพิเศษนี้จะไม่มาปะปนกับ “ความธรรมดา”, นั่นคือความผิดพลาดอันยิ่งใหญ่ของจริยธรรมโปรเตสแทนต์ที่เจือจางความรักของคริสเตียนเข้ากับความรักชาติ ความสัตย์ซื่อต่อเพื่อน และงาน, สำหรับพระเยซูแล้วสัญญลักษณ์ของคริสเตียนคือ “ความพิเศษ” , คริสเตียนไม่สามารถใช้ชีวิตตามมาตรฐานของโลก เพราะเขาต้องจดจำเสมอถึงคำว่า “พิเศษ”
อะไรเป็นความหมายที่แท้จริงของคำว่า “พิเศษ”, มันคือชีวิตแบบ “ผู้เป็นสุข” (๕.๓-๑๐), ชีวิตของผู้ที่ติดตามพระเยซูคริสต์, ความสว่างของโลก, เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขา, ทางแห่งการสละตนเอง, ทางแห่งความบริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์ , ทางแห่งความสัตย์จริงและความอ่อนโยน, มันคือความรักที่ไม่จำกัดต่อศัตรูทั้งส่วนตัว ทางศาสนา และ การเมือง, ในทุกกรณีมันคือความรักที่สมบูรณ์แบบบนไม้กางเขน อะไรคือความ “พิเศษ”, มันคือความรักของพระเยซูคริสต์เองผู้ซึ่งผ่านไม้กางเขนด้วยความอดทนและเชื่อฟัง, ไม้กางเขนเป็นความแตกต่างของศาสนาคริสต์ เป็นฤทธิ์เดชที่ช่วยให้คริสเตียนอยู่เหนือโลกและมีชัยชนะ ความทนทุกข์แห่งความรักของพระคริสต์บนกางเขนเป็นการแสดงออกอย่างสมบูรณ์ถึงความ “พิเศษ” ของชีวิตคริสเตียน
ความ “พิเศษ” นั้นคือแสงสว่างที่ส่องสว่างยังมนุษย์และถวายพระเกียรติแด่พระบิดาบนสวรรค์ มันไม่สามารถถูกถังครอบได้ มันจะต้องแสดงต่อมนุษย์ ชุมชนของผู้ติดตามพระคริสต์เป็นชุมชนของผู้มีความชอบธรรมที่เหนือกว่าและเป็นชุมชนที่เปิดเผย เป็นชุมชนที่ละทิ้งโลกและสังคม และเห็นทุกอย่างเป็นหยากเยื่อเพื่อไม้กางเขนของพระคริสต์
คุณภาพอย่างนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไรในทางปฏิบัติ นี่เป็นสิ่งที่น่าพิศวงที่สาวกพระเยซูกระทำ มันจะต้องทำเพื่อให้คนอื่นเห็น มันไม่ใช่การทรมานตัวเองแต่เป็นความเชื่อฟังน้ำพระทัยพระคริสต์อย่างง่ายๆตรงไปตรงมา, ถ้าเราทำให้ความ “พิเศษ” นี้เป็นมาตรฐานของเรา เราจะถูกนำไปสู่การทนทุกข์ของพระคริสต์ และเป็นการทนทุกข์อย่างต่อเนื่อง
คนเหล่านี้เป็นคนที่ดีรอบคอบคือคนที่มีความรักที่ไม่จำกัดของพระบิดาบนสวรรค์ มันเป็นความรักที่ทรงประทานพระบุตรเพื่อมาตายแทนเราบนกางเขน โดยการทนทุกข์ในการมีส่วนร่วมกับไม้กางเขนนี้ที่ทำให้สาวกของพระเยซูเป็นคนดีรอบคอบ และคนที่ดีรอบคอบนี้เองที่เป็น “ผู้เป็นสุข” ที่แท้จริง