รักศัตรู

3629 จำนวนผู้เข้าชม  | 

รักศัตรู

บทที่ 13  ศัตรู - “ความพิเศษ”  (จาก The Cost of Discipleship, Dietrich Bonhoeffer)

"ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า  จงรักคนสนิท  และเกลียดชังศัตรู  ฝ่ายเราบอกท่านว่า  จงรักศัตรูของท่าน  และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน  ทำดังนี้แล้วท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์  เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์  ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน  และให้ฝนตก  แก่คนชอบธรรมและคนอธรรม แม้ว่าท่านรักผู้ที่รักท่าน  จะได้บำเหน็จอะไร  ถึงพวกเก็บภาษีก็ยังกระทำอย่างนั้นมิใช่หรือ  ถ้าท่านทักทายแต่พี่น้องของตนฝ่ายเดียว  ท่านได้กระทำอะไรเป็นพิเศษยิ่งกว่าคนทั้งปวงเล่า  ถึงคนต่างชาติก็กระทำอย่างนั้นมิใช่หรือ  เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ  เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน  ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ”

(มัทธิว 5:43-48)

 

               มาถึงตอนนี้ เป็นครั้งแรกในคำเทศนาบนภูเขาที่เราพบกับคำที่สรุปคำเทศนาทั้งหมดไว้คือคำว่า “รัก”,  ความรักถูกจำกัดความในบริบทที่ไม่ผ่อนปรนเลยคือการ  “รักศัตรู”,  ถ้าพระเยซูเพียงแค่บอกให้เรารักพี่น้องของเรา  เราอาจจะเข้าใจความหมายความรักของพระองค์ผิด   แต่ในที่นี้พระองค์ไม่ปล่อยให้เราสงสัยถึงความหมายของความรักของพระองค์

               “ศัตรู”  สำหรับสาวกไม่ใช่เป็นเรื่องนามธรรม  พวกสาวกรู้จักพวกศัตรูดีมากเพราะได้พบเจอศัตรูทุกวัน   ศัตรูกล่าวหาพวกเขาว่าบิดเบือนความเชื่อและละเมิดธรรมบัญญัติ  ศัตรูที่เกลียดการที่พวกเขาละทิ้งทุกอย่างเพื่อติดตามพระเยซู     ศัตรูที่ดูถูกและหัวเราะเยาะความอ่อนแอและถ่อมตัวของพวกเขา   ศัตรูที่ข่มเหงพวกเขาเหมือนเป็นนักปฏิรูปที่อันตราย  และแสวงหาที่จะทำลาย   มีศัตรูบางคนที่เป็นกลุ่มผู้นำศาสนาที่ไม่พอใจคำกล่าวอ้างของพระเยซู   คนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีอำนาจและมีชื่อเสียง  นอกนั้นยังมีศัตรูของคนยิวทั่วไปคือรัฐบาลโรมัน  เหนืออื่นใดพวกสาวกต้องต่อสู้กับความเกลียดชังที่เกิดจากการไม่ติดตามฝูงชน   ซึ่งทำให้พวกเขาถูกเยาะเย้ย, ถากถาง, และข่มขู่

               พระคัมภีร์เดิมไม่เคยบอกเราอย่างชัดเจนให้เกลียดศัตรู  ในทางตรงข้ามมีมากกว่าหนึ่งครั้งที่บอกว่าเราต้องรักศัตรู  (อพ 23:4f, สษ 25:21f, ปก 45:1ff, 1 ซม 24:7, 2 พก 6:22, ฯลฯ)  แต่พระเยซูไม่ได้กำลังพูดถึงศัตรูธรรมดา  แต่พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างประชากรของพระเจ้ากับโลก  สงครามของอิสราเอลเป็น “สงครามศักดิ์สิทธิ์”  เพราะเป็นสงครามระหว่างพระเจ้าและโลกแห่งรูปเคารพ  นี่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่พระเยซูพูดถึง   ความหมายที่แท้จริงในตอนนี้คือพระองค์กำลังปลดปล่อยสาวกจากการการเป็นพันธมิตรด้านการเมืองกับอิสราเอลเดิม  จากนี้ต่อไปจะไม่มีสงครามเนื่องจากความเชื่ออีกต่อไป  หนทางเดียวที่จะเอาชนะศัตรูคือการรักเขา

               สำหรับคนปกติแล้วความคิดเรื่องการรักศัตรูเป็นสิ่งที่เกินจะทนได้และเกินกำลัง  มันทำลายความคิดในเรื่องความดีความชั่วของเขา  ที่สำคัญกว่านั้นสำหรับคนที่อยู่ใต้กฎบัญญัติ  ความคิดนี้ขัดแย้งกับกฏของพระเจ้าที่ให้มนุษย์แยกตัวและลงโทษศัตรู  อย่างไรก็ตามพระเยซูทรงถือกฎของพระเจ้าในมือและอธิบายถึงความหมายที่แท้จริง,  น้ำพระทัยของพระเจ้าซึ่งอยู่ในกฎของพระเจ้าคือการที่มนุษย์ควรเอาชนะศัตรูโดยการรักพวกเขา

               ในพระคัมภีร์ใหม่ศัตรูของเราคือคนที่เกลียดชังเรา  คริสเตียนต้องปฏิบัติต่อศัตรูแบบพี่น้อง  และตอบแทนความเกลียดชังด้วยความรัก  ความประพฤติของคริสเตียนจะไม่ถูกกำหนดด้วยสิ่งที่คนอื่นปฏิบัติต่อเขา  แต่โดยสิ่งที่พระเยซูปฏิบัติต่อเขา  นั่นคือน้ำพระทัยของพระเยซูคริสต์

                  ศัตรูของเราคือคนที่ดื้อและไม่ตอบสนองต่อความรักของเรา  คนที่ไม่เคยให้อภัยเราเมื่อเราให้อภัยเขาทั้งหมด  คนที่ตอบแทนความรักของเราด้วยความเกลียดและการรับใช้ของเราด้วยการหัวเราะเยาะ, “เขาฟ้องข้าพระองค์แทนความรักของข้าพระองค์  ส่วนข้าพระองค์ได้อธิษฐานเท่านั้น” (สดุดี 109:4),  ความรักไม่เรียกร้องสิ่งใดตอบแทน  และ แสวงหาผู้ที่ต้องการมัน  และใครเล่าที่ต้องการความรักของเรามากกว่าคนที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง  ที่ใดที่ความรักจะมีสง่าราศีเท่ากับเมื่อเธออยู่ท่ามกลางศัตรู

               ความรักของคริสเตียนไม่แบ่งแยกระหว่างศัตรูและคนอื่นๆ  ยิ่งศัตรูของเรามีความขมขื่นแห่งความเกลียดชังมากเท่าไหร่  เขายิ่งต้องการความรักมากขึ้นเท่านั้น  คนที่ศัตรูกับสาวกของพระเยซูไม่ว่าทางการเมืองหรือทางศาสนาสามารถคาดหวังความรักที่ไม่มีขีดจำกัดจากสาวกได้  ความรักเช่นนี้ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างเรื่องส่วนบุคคลหรือเรื่องตำแหน่งหน้าที่  เราเป็นสาวกของพระเยซูทั้งในสองฐานะ  ไม่เช่นนั้นเราก็ไม่เป็นคริสเตียนเลย  ถ้าผมจะถามว่าจะแสดงความรักอย่างนั้นด้วยความประพฤติอย่างไร  พระเยซูทรงตอบว่า  ให้อวยพรเขา  ทำดีต่อเขา  และอธิษฐานเผื่อศัตรูของคุณอย่างไม่หยุดยั้ง 

               “จงรักศัตรูของท่าน”  คำสั่งก่อนหน้านี้พูดแต่เพียงแค่ความอดทนต่อความชั่วร้าย  แต่เมื่อมาถึงที่นี่พระเยซูไปไกลกว่านั้นโดยไม่เพียงแต่ให้เราทนต่อความชั่วหรือคนชั่ว  ไม่เพียงแต่ให้เราละเว้นจากการปฏิบัติกับเขาอย่างที่เขาทำกับเรา  แต่ให้เรารักเขาจากหัวใจ  เราต้องรับใช้ศัตรูของเราในทุกสิ่งโดยไม่หน้าซื่อใจคดและด้วยความจริงใจ   ทุกอย่างที่คู่รักสามารถจะเสียสละเพื่อกันและกันเราควรจะทำอย่างนั้นกับศัตรู   ถ้าเราตั้งใจจะเสียสละสิ่งของ, เกียรติ,  และชีวิตเพื่อพี่น้องของเรา  เราจะต้องทำกับศัตรูของเราเหมือนกัน   เราจะไม่คิดว่านี้เป็นการให้อภัยต่อความชั่วของศํตรู  ความรักเช่นนี้หลั่งไหลมาจากความเข้มแข็งไม่ใช่ความอ่อนแอ  จากความจริงไม่ใช่ความกลัว  และใครกันเล่าที่ต้องการความรักแบบนี้ถ้าไม่ใช่คนที่เต็มด้วยความเกลียดชัง

          “จงอวยพรแก่คนที่แช่งด่าท่าน”  ถ้าศัตรูของเราทนเราไม่ได้อีกต่อไปและแช่งด่าเรา  การตอบสนองอย่างทันทีของเราคือการยกมือขึ้นอวยพรเขา  ศัตรูของเราเป็นเป้าหมายการอวยพรของพระเจ้า  คำสาบแช่งของเขาไม่สามารถทำอันตรายอะไรเราได้  ขอให้ความยากจนของเขาได้รับการอวยพรจากความรุ่งเรืองขององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ซึ่งเขาแช่งสาปอย่างเปล่าประโยชน์   เราต้องพร้อมที่จะทนต่อคำแช่งด่าของเขาตราบเท่าที่มันจะเพิ่มพระพรที่พวกเขาต้องการ 

          “จงทำดีแก่ผู้ที่เกลียดชังท่าน”   เราต้องรักไม่เพียงโดยความคิดและคำพูด  แต่ด้วยการกระทำ  และมีโอกาสมากมายที่เราสามารถใช้ในชีวิตประจำวัน,  “ถ้าศัตรูของท่านหิว  เลี้ยงดูเขา ถ้าเขากระหาย จงให้เขาดื่ม” (โรม ๑๒.๒๐),  ในขณะที่พี่น้องยืนเคียงข้างกันในยามทุกข์ยากปลอบโยนกันในความเจ็บปวด  ขอให้เราแสดงความรักอย่างนั้นต่อศัตรู  ไม่มีการรับใช้อะไรที่จำเป็นมากกว่าหรือเป็นพระพรมากกว่าการรับใช้ศัตรู,  “การให้เป็นเหตุให้มีความสุขมากกว่าการรับ”

          “จงอธิษฐานเพื่อคนที่เคี่ยวเข็ญท่าน”  นี่เป็นการเรียกร้องที่เหลือเชื่อ  ด้วยการอธิษฐานเรายืนอยู่เคียงข้างศัตรูและทูลขอต่อพระเจ้าเพื่อเขา  พระเยซูไม่ได้สัญญาว่าเมื่อเราอวยพรศัตรูและทำดีต่อเขาแล้วพวกเขาจะเลิกข่มเหงเรา  พวกเขาจะทำอย่างนั้นแน่นอน  แต่สิ่งนั้นจะไม่ทำให้เราเจ็บปวดหรือทำร้ายเราตราบเท่าที่เราอธิษฐานเผื่อพวกเขา  เพราะถ้าเราอธิษฐานเผื่อเขาเรารับเอาความทุกข์  ความยากจน  ความผิด และ ความย่อยยับของเขามาเป็นของเราและทูลขอต่อพระเจ้าเพื่อเขา  เรากำลังทำเพื่อเขาในสิ่งที่เขาไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้  ทุกๆการดูถูกที่เขาพูดกับเราจะผูกพันเราให้ใกล้ชิดกับพระเจ้าและพวกเขามากขึ้น  การข่มเหงของพวกเขาจะนำให้พวกเขาเข้าใกล้กับการคืนดีกับพระเจ้ามากขึ้นและจะนำมาสู่ชัยชนะของความรัก

          ความรักจะชนะได้อย่างไร,  ไม่ใช่ด้วยการถามว่าศัตรูปฏิบัติต่อเราอย่างไรแต่ด้วยการถามว่าพระเยซูทรงปฏิบัติต่อเราอย่างไร,  ความรักศัตรูนำเราไปในทางแห่งกางเขนและเข้าสู่การสามัคคีธรรมกับพระเยซูผู้ถูกตรึงที่กางเขน  ยิ่งเราเดินอยู่ในทางนี้มากเท่าไหร่  เราจะมีความมั่นใจมากขึ้นในชัยชนะของความรักต่อความเกลียดชังของศัตรู  เพราะเมื่อนั้นความรักไม่ใช่เป็นความรักของตัวสาวกเอง  แต่เป็นความรักของพระเยซูเท่านั้น  พระองค์ผู้ไปสู่กางเขนเพื่อศัตรูของพระองค์และอธิษฐานเผื่อพวกเขาเมื่อพระองค์ถูกตรึง,  ที่กางเขนนั้นพวกสาวกรู้ว่าพวกเขาเองก็เป็นศัตรูกับพระองค์ด้วย  และพระองค์เอาชนะพวกเขาด้วยความรัก  ด้วยสิ่งนี้ที่เปิดดวงตาของพวกสาวกและทำให้เขาสามารถมองศัตรูเป็นพี่น้องได้   สาวกรู้ว่าพวกเขาเป็นหนี้ชีวิตพระองค์   โดยถึงแม้ว่าพวกเขาเป็นศัตรูกับพระองค์แต่พระองค์ทรงถือพวกเขาเป็นพี่น้องและยอมรับพวกเขา   เหล่าสาวกรู้ว่าแม้แต่ศัตรูของพวกเขาก็เป็นที่รักของพระเจ้า   และศัตรูก็เหมือนพวกเขาเมื่อยืนอยู่ที่ใต้กางเขน  พระเจ้าไม่ได้ถามเราถึงความดีหรือความชั่วของเรา  เพราะในสายพระเนตรของพระองค์ความดีของเรานั้นไม่สมบูรณ์   ความรักของพระเจ้าแสวงหาศัตรูที่ต้องการมัน  พระเจ้ารักศัตรูของพระองค์  นั่นเป็นสง่าราศีแห่งความรักของพระองค์ซึ่งสาวกทุกคนทราบดี   เพราะว่าพระเจ้าทรงให้แสงแดดส่องต่อคนชอบธรรมและคนอธรรม  แต่มันไม่ใช่เพียงแต่แสงแดดหรือฝนแห่งโลกเท่านั้น  แต่รวมถึงแสงแดดแห่งความชอบธรรมและสายฝนแห่งพระวจนะของพระองค์ที่มาถึงคนบาป  และแสดงพระคุณของพระบิดาบนสวรรค์,  ความสมบูรณ์, ความรักที่กว้างขวางเป็นการกระทำของพระบิดา  และเป็นการกระทำของบรรดาลูกของพระเจ้าเช่นเดียวกับเป็นการกระทำของพระบุตรองค์เดียวของพระองค์

          คำสั่งให้เรารักศัตรูและไม่แก้แค้นจะเป็นสิ่งที่เร่งด่วนมากขึ้นในการต่อสู้อันบริสุทธิ์ที่รอเราอยู่  และที่เรามีส่วนร่วมบ้างมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว   เวลานั้นจะมาถึงเมื่อการนับถือพระเจ้าจะนำการเกลียดชังและโกรธแค้นมาสู่โลก  คริสเตียนจะถูกไล่ล่าจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง  ถูกทำร้ายและอาจถึงความตาย 

เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการข่มเหงอย่างกว้างขวาง  ศัตรูของเราพยายามที่จะกำจัดคริสตจักรและความเชื่อคริสเตียนให้หมดสิ้นไปเพราะเขาไม่สามารถจะอยู่ร่วมกับเราได้  เขามองเห็นคำพูดและการกระทำของเราเป็นคำประนามต่อคำพูดและการกระทำของเขา   ความคิดของพวกเขาไม่ผิดมากนัก  พวกเขาสงสัยด้วยว่าเราไม่ไส่ใจในคำประนามของพวกเขา  จริงๆแล้วเขาต้องยอมรับว่ามันเสียเวลาเปล่าที่จะประนามเรา  เราไม่ตอบสนองต่อความเกลียดชังและการโต้แย้ง  

 

แม้ว่าเขาอยากจะให้เราทำอย่างนั้นเพื่อจะจมลงไปสู่ระดับเดียวกับเขา  และเราจะต่อสู้กับสงครามนี้อย่างไร,  ในไม่ช้าเวลาจะมาถึงเมื่อเราจะอธิษฐานไม่เพียงแต่ส่วนบุคคลแต่เป็นการอธิษฐานรวมกันของคริสตจักร  เราจะอธิษฐานในชุมชนและเราจะสรรเสริญองค์พระเจ้าผู้ทรงถูกตรึง, ฟื้นคืนพระชนม์, และจะเสด็จกลับมาอีก  และคำอธิษฐานหรือบทเพลงอะไรที่จะเหมาะสม     มันจะเป็นคำอธิษฐานเผื่อลูกแห่งความพินาศที่อยู่รอบๆและจ้องมองเราด้วยสายตาที่เร่าร้อนด้วยไฟแห่งความเกลียดชัง  และ บางคนที่ได้ยกมือฆ่าพวกเราบางคนไปแล้ว,  มันจะเป็นคำอธิษฐานแห่งสันติภาพสำหรับจิตวิญญาณที่หลงผิด, ที่ถูกทำลาย,  คำอธิษฐานสำหรับความรักเดียวกันที่นำความชื่นชมยินดีมาสู่เรา  คำอธิษฐานที่จะฝังเข้าไปในส่วนลึกของวิญญาณพวกเขา  และฉีกจิตใจของเขาอย่างรุนแรงมากกว่าสิ่งที่เขาทำต่อเรา,  ใช่แล้ว, คริสตจักรที่กำลังรอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริงจะต้องสวมเสื้อเกราะแห่งความบริสุทธิ์เข้าในการอธิษฐานแห่งความรักแบบนี้

          อะไรคือความรักที่ไม่มีขีดจำกัด,   มันคือความรักที่ไม่แสดงเฉพาะต่อคนที่รักเราตอบ   เมื่อเรารักคนที่รักเรา  พี่น้องของเรา  ชาติของเรา  เพื่อนของเรา  และสมาชิกโบสถ์ของเรา,  เราก็ไม่ดีไปกว่าคนชาวโลก  ความรักอย่างนี้เป็นความรักธรรมดาตามธรรมชาติ  และไม่ได้เป็นความรักแบบคริสเตียน,   เราสามารถรักเพื่อนร่วมชาติ ญาติ เพื่อนฝูง  ไม่ว่าเราจะเป็นคริสเตียนหรือไม่  และไม่มีความจำเป็นที่พระเยซูต้องสอนเราสำหรับความรักแบบนั้น  แต่ในทางตรงข้ามพระองค์ยืนยันให้เรารักศัตรู   ซึ่งแสดงให้เรารู้ว่าพระองค์ทรงหมายความอย่างไรเมื่อพูดถึง “ความรัก”, และเราควรจะมีทัศนคติต่อความรักอย่างไร

          สาวกแตกต่างจากคนต่างชาติอย่างไร,  การเป็นคริสเตียนมีหมายความอย่างไร,   ในที่นี้เราพบคำที่กำหนด มัทธิวบทนี้ทั้งบท   สิ่งที่ทำให้คริสเตียนแตกต่างคือคำว่า “พิเศษ” (๕.๔๗) - perisson   ความพิเศษที่อยู่เหนือความปกติทั่วๆไป,   นี่คือคุณภาพของความชอบธรรมที่อยู่เหนือพวกธรรมาจารย์และฟาริสี,  คุณภาพที่แตกต่างของชีวิตคริสเตียนเริ่มต้นจากความ   “พิเศษ”,  สิ่งนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในสภาพปกติธรรมดา  ความพิเศษนี้จะไม่มาปะปนกับ “ความธรรมดา”,  นั่นคือความผิดพลาดอันยิ่งใหญ่ของจริยธรรมโปรเตสแทนต์ที่เจือจางความรักของคริสเตียนเข้ากับความรักชาติ  ความสัตย์ซื่อต่อเพื่อน  และงาน,   สำหรับพระเยซูแล้วสัญญลักษณ์ของคริสเตียนคือ  “ความพิเศษ” ,  คริสเตียนไม่สามารถใช้ชีวิตตามมาตรฐานของโลก  เพราะเขาต้องจดจำเสมอถึงคำว่า “พิเศษ”

          อะไรเป็นความหมายที่แท้จริงของคำว่า  “พิเศษ”,  มันคือชีวิตแบบ  “ผู้เป็นสุข” (๕.๓-๑๐),  ชีวิตของผู้ที่ติดตามพระเยซูคริสต์,  ความสว่างของโลก,  เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขา,  ทางแห่งการสละตนเอง,  ทางแห่งความบริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์ , ทางแห่งความสัตย์จริงและความอ่อนโยน,  มันคือความรักที่ไม่จำกัดต่อศัตรูทั้งส่วนตัว ทางศาสนา และ การเมือง,   ในทุกกรณีมันคือความรักที่สมบูรณ์แบบบนไม้กางเขน  อะไรคือความ  “พิเศษ”,  มันคือความรักของพระเยซูคริสต์เองผู้ซึ่งผ่านไม้กางเขนด้วยความอดทนและเชื่อฟัง,   ไม้กางเขนเป็นความแตกต่างของศาสนาคริสต์   เป็นฤทธิ์เดชที่ช่วยให้คริสเตียนอยู่เหนือโลกและมีชัยชนะ  ความทนทุกข์แห่งความรักของพระคริสต์บนกางเขนเป็นการแสดงออกอย่างสมบูรณ์ถึงความ “พิเศษ” ของชีวิตคริสเตียน

          ความ “พิเศษ”  นั้นคือแสงสว่างที่ส่องสว่างยังมนุษย์และถวายพระเกียรติแด่พระบิดาบนสวรรค์   มันไม่สามารถถูกถังครอบได้  มันจะต้องแสดงต่อมนุษย์   ชุมชนของผู้ติดตามพระคริสต์เป็นชุมชนของผู้มีความชอบธรรมที่เหนือกว่าและเป็นชุมชนที่เปิดเผย   เป็นชุมชนที่ละทิ้งโลกและสังคม  และเห็นทุกอย่างเป็นหยากเยื่อเพื่อไม้กางเขนของพระคริสต์

          คุณภาพอย่างนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไรในทางปฏิบัติ  นี่เป็นสิ่งที่น่าพิศวงที่สาวกพระเยซูกระทำ  มันจะต้องทำเพื่อให้คนอื่นเห็น  มันไม่ใช่การทรมานตัวเองแต่เป็นความเชื่อฟังน้ำพระทัยพระคริสต์อย่างง่ายๆตรงไปตรงมา,   ถ้าเราทำให้ความ “พิเศษ” นี้เป็นมาตรฐานของเรา  เราจะถูกนำไปสู่การทนทุกข์ของพระคริสต์  และเป็นการทนทุกข์อย่างต่อเนื่อง

          คนเหล่านี้เป็นคนที่ดีรอบคอบคือคนที่มีความรักที่ไม่จำกัดของพระบิดาบนสวรรค์   มันเป็นความรักที่ทรงประทานพระบุตรเพื่อมาตายแทนเราบนกางเขน  โดยการทนทุกข์ในการมีส่วนร่วมกับไม้กางเขนนี้ที่ทำให้สาวกของพระเยซูเป็นคนดีรอบคอบ  และคนที่ดีรอบคอบนี้เองที่เป็น “ผู้เป็นสุข” ที่แท้จริง 

           

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้