สรุปและข้อคิดจาก 2 ทิโมธี จากคู่มืออธิบายพระคัมภีร์
ของ จอห์น สตอทท์[1]
โดย ภัทรา คะนึงไกวัล
ในคู่มืออธิบายพระคัมภีร์ 2 ทิโมธี ของ จอห์น สตอทท์
แบ่งเนื้อหาเป็น 5 บท ดังนี้
1. บทนำ พูดถึงเบื้องหลังสำคัญ 4 ประการของพระธรรม 2 ทิโมธี
คือ
1.1 ยืนยันว่าเปาโลเป็นผู้เขียนจดหมายฝากฉบับนี้ โดยดูจากหลักฐานทั้งในและนอกพระคัมภีร์ (น. 9-13)
1.2 เล่าว่าเปาโลเขียนจดหมายฝากฉบับนี้ขณะถูกจองจำในคุกใต้ดินที่กรุงโรม (น. 13) ก่อนถูกประหารชีวิตไม่นาน แม้จดหมายเขียนถึงทิโมธี แต่ก็เป็นเจตนารมณ์สุดท้ายหรือพินัยกรรมของเปาโลต่อคริสตจักรด้วย (น. 15)
ข้อคิด ในการศึกษาพระธรรม 2 ทิโมธี เราอาจสมมติตัวเองเป็นทิโมธี แล้วพิจารณาว่าเราจะเป็นผู้รับสืบทอดหน้าที่จากคริสตชนรุ่นก่อนอย่างไร มีคำสอน คำเตือน และคำหนุนใจอะไรสำหรับเรา มีอะไรที่เราต้องแก้ไขปรับปรุงตัวเพื่อจะเป็น
ทิโมธีที่ทำหน้าที่ได้สำเร็จ ขณะเดียวกันเราก็อาจสมมติตัวเองเป็นเปาโล แล้วพิจารณาว่าใครคือทิโมธีของเรา เราจะมีส่วนสร้าง
ทิโมธีในรุ่นของเราได้อย่างไร
1.3 เล่าเรื่องผู้รับจดหมาย คือทิโมธี ทั้งในด้านความสัมพันธ์กับเปาโล (เป็นผู้ที่เปาโลนำมาเชื่อพระเยซู เป็นลูกศิษย์ เป็นเพื่อนร่วมงาน – น. 16) และลักษณะประจำตัวทิโมธี (อายุน้อย ขี้โรค ขี้อาย - น. 17)
ข้อคิด ทุกคนที่พระเจ้าทรงเรียกล้วนมีจุดอ่อนเฉพาะตัว จุดอ่อนจึงไม่ใช่เหตุผลที่เราจะปฏิเสธหน้าที่ ความสำเร็จของงานอยู่ที่ผู้ทรงเรียกเป็นใคร ไม่ใช่เราเป็นใคร
1.4 เล่าถึงความร้อนใจของเปาโลที่ต้องการให้มีผู้ปกป้องและสืบทอดข่าวประเสริฐอย่างสัตย์ซื่อ เนื่องจากเขาเองกำลังจะถูกประหาร ขณะที่สถานการณ์รอบข้างทั้งด้านการเมือง สังคม และศาสนา ล้วนเลวร้ายลง (น. 18-19)
2. คำกำชับให้ปกป้องข่าวประเสริฐ (2 ทธ. 1:1-18)
แก่นเรื่องของ 2 ทิโมธี บทที่ 1 คือ อย่าได้ละอายในข่าวประเสริฐ แต่จงปกป้องข่าวประเสริฐไว้
2.1 ข้อ 1 พูดถึงฐานะอัครทูตของเปาโลว่ามาจากพระเจ้า ไม่ใช่มนุษย์ โดยเน้นความเป็นอัครทูตใน 2 ประเด็น ได้แก่
(1) ที่มา คือ “ตามพระทัยของพระเจ้า” ซึ่งก็คือ “การทรงเรียก”
(2) จุดมุ่งหมาย คือ “เพื่อพระสัญญาแห่งชีวิตที่มีในพระเยซูคริสต์” นั่นคือ ข่าวประเสริฐไม่เพียง “นำเสนอ” ชีวิตให้มนุษย์ แต่ยัง “สัญญา” จะให้ชีวิตแก่ทุกคนที่อยู่ในพระคริสต์ด้วย (น. 24)
2.2 ข้อ 2-8 พูดถึงทิโมธีว่าเป็นบุตรที่รักของเปาโล น่าจะเป็นเพราะเปาโลมีส่วนในการกลับใจของทิโมธี (น. 25) ในจดหมายฉบับนี้ เปาโลทักทายทิโมธีด้วยคำ 3 คำ ซึ่งน่าจะมีความหมายมากกว่าเป็นคำทักทายกันตามธรรมเนียม เพราะแฝงความหมายทางศาสนศาสตร์ไว้ด้วย นั่นคือ “พระคุณ” หมายถึงพระกรุณาที่ให้แก่ผู้ไม่สมควรจะได้รับ “พระเมตตา” มีให้แก่คนอ่อนแอที่ช่วยตัวเองไม่ได้ และ “สันติสุข” นำความกลมเกลียวมาสู่ชีวิตที่ขัดแย้งสับสน (น. 26)
ข้อคิด เมื่อเข้าใจความหมายทางศาสนศาสตร์ที่แฝงอยู่ คำทักทายนี้จึงให้ความรู้สึกอันอบอุ่นยิ่งสำหรับเราด้วย เพราะเราก็เป็นคนที่ไม่สมควรจะได้รับพระกรุณา เป็นคนอ่อนแอที่ช่วยตัวเองไม่ได้ และเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งเสมอ
พระเจ้าเองทรงปั้นทิโมธีให้เป็นผู้รับใช้ของพระองค์ผ่านอิทธิพล 4 ด้านคือ
(1) การเลี้ยงดูของครอบครัว ครอบครัวมีส่วนสำคัญในการสั่งสอนพระคัมภีร์และหล่อหลอมอุปนิสัย
(2) มิตรภาพฝ่ายจิตวิญญาณ คือการใช้ชีวิตด้วยกันกับคริสเตียนอื่นและอธิษฐานเผื่อกัน
(3) ของประทานพิเศษจากพระเจ้า ประกอบด้วยการทรงเรียกให้ทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นเฉพาะและของประทานพิเศษเพื่อให้ทำหน้าที่นั้นได้สำเร็จ
(4) ความมีวินัย เป็นความรับผิดชอบของคนผู้นั้นเองในการนำของประทานไปใช้และพัฒนาให้รุ่งเรืองขึ้น โดยจะต้องไม่เกียจคร้านและไม่ขลาดกลัวที่จะใช้ของประทาน
การจะรับใช้ตามที่พระเจ้าทรงมอบหมายได้ต้องไม่อับอายที่จะ “เป็นพยานขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”
คริสเตียนเอง “มักจะถูกทดลองให้เกิดความละอายใน 3 ทางด้วยกัน คือ ทดลองให้ละอายในพระนามของพระคริสต์ผู้ทรงเรียกเราให้เป็นพยาน ทดลองให้ละอายในกลุ่มคนของพระคริสต์ ซึ่งถ้าเราเป็นของพระคริสต์ เราก็เป็นส่วนหนึ่งของคนกลุ่มนี้ และทดลองให้ละอายในข่าวประเสริฐของพระคริสต์ที่ทรงมอบไว้ให้เราประกาศ” (น. 34)
2.3 ข้อ 9-10 พูดถึงข่าวประเสริฐของพระเจ้า ว่าเป็นข่าวดีเรื่องความรอดบาป เปาโลอธิบายข่าวประเสริฐใน 3 แง่ ดังนี้ (1) ลักษณะของความรอด คือ การที่พระเจ้าทรงประกาศว่าเราเป็นคนชอบธรรม (“ทรงช่วยเราให้รอด” – ข้อ 9) ชำระเราให้บริสุทธิ์ (“ทรงเรียกเราด้วยการทรงเรียกอันบริสุทธิ์” – ข้อ 9) และให้เราได้มีส่วนร่วมในสง่าราศีของพระองค์ (“ทรงทำให้ชีวิตและสภาพอมตะปรากฏชัด” – ข้อ 10)
(2) ที่มาของความรอด คือ พระประสงค์และพระคุณของพระเจ้าเอง โดยประทานแก่เราในพระเยซูคริสต์ก่อนที่เราจะเกิด ก่อนที่เราจะทำความดีใดๆ ได้ และแท้จริงประทานแก่เราตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์ ก่อนจะมีกาลเวลาเสียอีก
(3) รากฐานของความรอด คือ การที่พระคริสต์เสด็จเข้ามาในโลกครั้งแรกและทรงทำลายความตายเสีย แม้ปัจจุบันความตายยังไม่ถูกขจัดให้หมดไป แต่ก็หมดประสิทธิภาพหรือหมดอำนาจแล้วโดยการสิ้นพระชนม์และคืนพระชนม์ของพระคริสต์ (น. 40-42)
2.4 ข้อ 11-18 พูดถึงหน้าที่ของเราต่อข่าวประเสริฐ ได้แก่
(1) ประกาศข่าวประเสริฐ ปัจจุบันไม่มีอัครทูตแล้ว แต่ยังมีผู้ประกาศและครู “ผู้ประกาศ” สอนสาระสำคัญของข่าวประเสริฐและเรียกให้คนกลับใจเชื่อพระเยซู ส่วน “ครู” สอนหลักข้อเชื่อซึ่งเป็นรากฐานของข่าวประเสริฐและแนวปฏิบัติทางจริยธรรมซึ่งเป็นผลที่ตามมาจากข่าวประเสริฐ อย่างไรก็ดี งานของผู้ประกาศและครูมักคาบเกี่ยวกันเสมอ
(2) ทนทุกข์เพื่อข่าวประเสริฐ เนื่องจากมนุษย์จะเกลียดการยอมรับว่าเป็นคนบาปหนาที่ช่วยตัวเองไม่ได้และจำต้องรับพระคุณของพระเจ้า ทุกคนที่ประกาศข่าวประเสริฐอย่างสัตย์ซื่อจึงหนีไม่พ้นที่จะต้องถูกต่อต้านหรือข่มเหง
(3) พิทักษ์รักษาข่าวประเสริฐ ข่าวประเสริฐคือทรัพย์ล้ำค่าที่พระคริสต์ทรงมอบให้เปาโล และเปาโลมอบต่อให้ทิโมธีปกป้องรักษาและสืบทอดต่อไป พระเจ้าทรงมอบของล้ำค่านี้ไว้กับเราที่อ่อนแอและผิดพลาดได้ง่ายก็จริง แต่ไม่ได้ทรงทิ้งให้เราทำหน้าที่โดยลำพัง พระองค์เองจะทรงรักษาข่าวประเสริฐนี้ให้ปลอดภัยจนถึงวันพิพากษา “การประกาศข่าวประเสริฐจึงไม่ใช่เรื่องที่เหลือบ่ากว่าแรง” (น. 53)
3. คำกำชับให้ทนทุกข์เพื่อข่าวประเสริฐ (2 ทธ. 2:1-26)
แก่นเรื่องของ 2 ทิโมธี บทที่ 2 คือ เรียกร้องให้ทนทุกข์เพื่อข่าวประเสริฐ และอธิบายคุณสมบัติของผู้รับใช้พระเจ้า
3.1 ข้อ 1-2 พูดถึงการสืบทอดข่าวประเสริฐ เปาโลเรียกร้องให้ทิโมธีสู้ทวนกระแสต่อต้านของสังคมและความรู้สึกไม่มั่นใจของตัวเอง โดยบอกทิโมธีว่า ขุมพลังในการรับใช้พระเจ้าไม่ได้มาจากอุปนิสัยโดยกำเนิดของเขาเอง แต่มาจากพระคุณพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ “เราต้องพึ่งพระคุณพระเจ้าไม่เพียงเพื่อเราจะได้รับความรอดเท่านั้น (1:9) แต่พึ่งพระคุณของพระองค์ที่จะช่วยให้เรารับใช้พระองค์ได้ด้วย” (น. 56)
เปาโลเห็นภาพการสืบทอดข่าวประเสริฐเป็น 4 ลำดับขั้น คือ (1) จากพระคริสต์ถึงเปาโล (2) จากเปาโลถึง
ทิโมธี (3) จากทิโมธีถึงบรรดาคนสัตย์ซื่อ เช่น ผู้รับใช้ที่มีหน้าที่สอนพระวจนะและผู้ปกครองคริสตจักร (4) จากคนสัตย์ซื่อเหล่านั้นถึงคนอื่นๆ
3.2 ข้อ 3-4 อุปมาที่ 1: ทหารผู้อุทิศตนเพื่อหน้าที่ เปาโลเปรียบผู้รับใช้เป็นทหารเพื่อเน้นว่า ผู้รับใช้ต้องเป็นคนที่อุทิศตัว ยอมทนทุกข์ และมีใจแน่วแน่ในการทำหน้าที่ ทหารยามรบย่อมถือว่าความยากลำบาก การเสี่ยงภัย และการทนทุกข์เป็นของธรรมดาที่ต้องพบ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทหาร ฉันใดฉันนั้น คริสเตียนก็ไม่ควรหวังว่าจะมีชีวิตที่สบาย ถ้าเขาจริงจังกับข่าวประเสริฐ เขาก็ต้องเผชิญการต่อต้านและดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างแน่นอน (น. 60) นอกจากนี้ ทหารต้องไม่ไปพัวพันกับงานฝ่ายพลเรือน คือไม่พัวพันกับสิ่งใดที่อาจขัดขวางมิให้เขาต่อสู้เพื่อพระคริสต์อย่างเต็มที่ ประเด็นนี้อาจเป็นคำแนะนำที่เจาะจงสำหรับผู้รับใช้หรือศิษยาภิบาลว่า ศิษยาภิบาลไม่ควรต้องแบกภาระการเลี้ยงชีพโดยทำงาน “ฝ่ายโลก” เพื่อเขาจะได้ทุ่มเทชีวิตทั้งหมดทำหน้าที่และจดจ่อศึกษาพระวจนะโดยไม่วอกแวก (น. 61)
ข้อคิด ทหารไม่ได้สักแต่รบ ทว่ารบอย่างมีเป้าหมาย การรับใช้จึงไม่ใช่สักแต่รับใช้ หากแต่ต้องทำอย่างมีเป้าหมายและมุ่งไปให้ตรงเป้า มิฉะนั้น การรับใช้อาจกลายเป็นแค่กิจกรรมอย่างหนึ่ง มีแต่รูปแบบ ไม่มีสาระ ประเด็นนี้มักเป็น
กับดักการรับใช้ของฆราวาส ส่วนกับดักของผู้รับใช้คือ งานรับใช้อาจกลายเป็นแค่การประกอบอาชีพ รับใช้เพื่อเลี้ยงชีพ แทนที่จะเป็นการรับใช้โดยได้รับการดูแลให้ดำรงชีพได้ สภาพที่ไม่ควรเป็นนี้อาจมีสาเหตุได้จากทั้งสองทางคือ เกิดจากฝั่งผู้รับใช้เองพลาดเป้า หรือเป็นความกดดันจากภายนอกให้ผู้รับใช้ต้องหาทางเลี้ยงชีพพร้อมกับรับใช้ไปด้วย โดยมักอ้างกรณีเปาโลเป็นตัวอย่าง แต่คู่มือเล่มนี้เห็นว่า กรณีเปาโลเป็นข้อยกเว้นและเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล (น. 61) เปาโลเองแสดงชัดเจนอย่างนั้นและยังยืนยันหลักการตามพระบัญชาของพระเจ้าเกี่ยวกับตัวเองและผู้รับใช้คนอื่นว่า “คนที่ประกาศข่าวประเสริฐควรได้รับการเลี้ยงชีพด้วยข่าวประเสริฐ” (1 คร. 9:14)
3.3 ข้อ 5 อุปมาที่ 2: นักกีฬาผู้แข่งขันตามกติกา นักกีฬาจะแสดงกำลังความสามารถอย่างสะเปะสะปะไม่ได้ แต่ต้องแข่งขันให้ถูกกติกา ฉันใดฉันนั้น คริสเตียนก็ต้องดำเนินชีวิตให้ถูกต้องตามกฎศีลธรรมของพระเจ้าและรับใช้อย่างซื่อสัตย์เต็มกำลัง แข่งขันจนถึงที่สุด จึงจะได้รับรางวัล
3.4 ข้อ 6 อุปมาที่ 3: กสิกรผู้ตรากตรำทำงานหนัก กสิกรต้องตรากตรำทำงานหนักจึงประสบผลสำเร็จ ฉันใดฉันนั้น ผู้รับใช้ก็ต้องตรากตรำเทศนา สั่งสอน และปล้ำสู้อธิษฐาน จึงจะได้เก็บเกี่ยวผลิตผล คือได้ความบริสุทธิ์ในชีวิตตนและได้คนมารับเชื่อพระเยซู
3.5 ข้อ 7 หนทางสู่ความเข้าใจ การจะเข้าใจความจริงของพระเจ้าต้องประกอบด้วย 2 ด้านคือ
(1) ด้านมนุษย์ เขาต้องใคร่ครวญพระวจนะ
(2) ด้านพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงสำแดงให้เขาเข้าใจความหมายของสิ่งที่ใคร่ครวญนั้น
3.6 ข้อ 8-13 การทนทุกข์เป็นเงื่อนไขแห่งพระพรเปาโลยกประสบการณ์จริง 3 ประการมาชี้ให้เห็นว่า “ไม่มีสิ่งสูงค่าใดที่ได้มาโดยง่าย” (น. 70) ดังนี้
(1) ประสบการณ์ของพระคริสต์ การที่พระคริสต์ทรงเป็นขึ้นจากตายบ่งว่าพระองค์เป็นพระบุตรพระเจ้าและเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ส่วนการที่ทรงสืบเชื้อสายจากดาวิดบ่งว่าพระองค์เป็นมนุษย์และเป็นพระมหากษัตริย์ ประสบการณ์การสิ้นพระชนม์และคืนพระชนม์ของพระคริสต์ชี้ให้เห็นว่า ความตายเป็นประตูสู่ชีวิตและการทนทุกข์เป็นหนทางสู่สง่าราศี
(2) ประสบการณ์ของเปาโล เปาโลประกาศข่าวประเสริฐเพื่อให้คนที่พระเจ้าทรงเลือกได้รับความรอด ประสบการณ์ของเปาโลแสดงให้เห็นว่า ไม่มีใครประกาศข่าวประเสริฐได้โดยไม่ต้องทนทุกข์
(3) ประสบการณ์ของคริสเตียนทุกคน เราจะได้ชีวิตร่วมกับพระคริสต์ในสวรรค์ก็ต่อเมื่อเรามีส่วนร่วมกับความตายของพระองค์ในโลกนี้ และเราจะได้ครอบครองกับพระคริสต์ในวันหน้าก็ต่อเมื่อเรามีส่วนร่วมทนทุกข์กับพระองค์ในวันนี้ (น. 74)
เราจึงไม่ควรคาดหวังว่าจะมีชีวิตที่สะดวกสบายและยิ่งไม่ควรสัญญากับคนอื่นๆว่าเขาจะสุขสบายไร้อุปสรรคเมื่อมาเป็นคริสเตียน
ข้อคิด คนปัจจุบันรังเกียจความทุกข์ รักความสุขสบาย อาจเพราะเทคโนโลยีทันสมัยต่างๆ เอื้อให้ชีวิตสะดวกสบายขึ้นมาก นอกจากนี้ คนที่โตในบริบทสังคมไทยยังอาจได้รับอิทธิพลทั้งจากศาสนาพุทธที่เน้นการดับทุกข์และแนวคิดมนุษยนิยมที่เน้นให้คนมีความสุข อิทธิพลเหล่านี้อยู่อย่างกลมกลืนในสังคมไทยอาจจะเพราะไทยเป็นดินแดนที่อุดมด้วยน้ำและอาหารอันเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน อีกทั้งภูมิประเทศภูมิอากาศก็ไม่ลำเค็ญต่อการดำรงชีพ คนจึงมีแนวโน้มจะใช้ชีวิตอย่างเรื่อยๆ สบายๆ ไม่อุตสาหะอยู่แล้ว การเรียกร้องให้คนในสังคมแบบนี้ยอม “ตรากตรำ ดิ้นรน ต่อสู้” ถือว่าสวนกระแสโดยสิ้นเชิง นี่อาจเป็นเหตุให้คนยอมรับแนวคิดแบบพุทธหรือ “prosperity gospel” ได้ง่ายกว่าและสะดวกใจกว่าการเป็นคริสเตียนอย่างเปาโลหรือแม้กระทั่งพระเยซูเอง บ่อยครั้งการประกาศข่าวประเสริฐจึงต้องเน้นแต่พระพรและละเว้นไม่พูดถึงการทนทุกข์ ทำให้ความเข้าใจของคนที่มาเป็นคริสเตียนบิดเบี้ยวตั้งแต่แรก
3.7 ข้อ 14-19 อุปมาที่ 4: คนงานที่ไม่ต้องอาย งานที่คนงานคริสเตียนต้องทำคือการสอนพระวจนะแห่งความจริง ซึ่งก็คือพระคัมภีร์นั่นเอง คนงานมี 2 จำพวก ได้แก่
(1) คนงานที่ดี เป็นผู้ที่สอนพระวจนะอย่างถูกต้อง
(2) คนงานที่ใช้ไม่ได้ เป็นพวกที่หลงไปจากความจริง และชักพาให้คนที่เขาสอนหลงทางไปด้วย
3.8 ข้อ 20-22 อุปมาที่ 5: ภาชนะที่สะอาด เปาโลเปรียบคริสตจักรเป็นบ้านหลังใหญ่ ส่วนภาชนะน่าจะหมายถึงผู้สอน ซึ่งมี 2 จำพวก ได้แก่ ผู้สอนแท้ และผู้สอนเทียมเท็จ การจะเป็นผู้สอนแท้ที่พระเจ้าทรงใช้ได้ต้องชำระตัวให้บริสุทธิ์ โดยหลีกหนีจากอันตรายฝ่ายจิตวิญญาณและใฝ่หาความดีงามทางจิตวิญญาณ
3.9 ข้อ 23-26 อุปมาที่ 6: ผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้า อุปมานี้เปรียบผู้รับใช้พระเจ้าเป็นทาสในเรือนขององค์พระผู้เป็นเจ้า (น. 90) เขาต้องเป็นคนสุภาพอ่อนน้อม เป็นครูที่สามารถสอนสัจธรรมและกล้าตักเตือนฝ่ายตรงข้าม แต่ไม่ช่างทะเลาะในเรื่องไม่เป็นสาระ ด้วยคุณสมบัตินี้เขาจึงจะเป็นเครื่องมือที่พระเจ้าทรงใช้นำผู้ที่หลงผิดให้กลับใจมาถึงความจริงและรอดจากมารได้
4. คำกำชับให้ยืนหยัดในข่าวประเสริฐ (2 ทธ. 3:1-17)
แก่นเรื่องของ 2 ทิโมธี บทที่ 3 คือ ให้ยืนหยัดต่อสู้เพื่อข่าวประเสริฐ ไม่ว่าจะมีแรงต้านจากสังคมมากมายเพียงไร
4.1 ข้อ 1-2ก. เปาโลเตือนทิโมธีว่า การต่อต้านข่าวประเสริฐไม่ใช่ปรากฏการณ์ชั่วคราว แต่เป็นลักษณะประจำยุคสุดท้ายซึ่งเริ่มต้นเมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาครั้งแรก (น. 98) ดังนั้น มี 4 สิ่งที่เราต้องตระหนักคือ (1) เรากำลังอยู่ในยุคดังกล่าว (2) นี่เป็นกลียุคที่มากด้วยความกดดันและอันตราย (3) สภาวะเช่นนี้เป็นผลจากการกระทำของคนชั่ว (4) เราต้องเข้าใจสถานการณ์ให้แจ่มแจ้งและเตรียมพร้อมที่จะรับมือ
4.2 ข้อ 2-9 เปาโลแจกแจงลักษณะของคนชั่วที่ก่อให้เกิดกลียุคเป็น 3 ด้าน ได้แก่
(1) พฤติกรรมทางศีลธรรม เป็นคนที่รักตัวเอง รักเงิน รักความสนุกสนานมากกว่ารักพระเจ้าและคนอื่นๆ
(2) การถือศาสนา มีแต่เปลือกนอก เป็นความเชื่อที่ไม่มีความประพฤติ
(3) ความเร่าร้อนในการแพร่คำสอนผิดๆ พวกเขาไม่เพียงประกาศตัวว่าถือศาสนา ยังเที่ยวสอนศาสนาอย่างแข็งขันด้วย แต่สอนผิดๆ ชักนำให้คนอ่อนแอหลงผิดตามเขาไป ในคริสตจักรก็มีคนแบบนี้อยู่ เปาโลเตือนว่าอย่าได้ติดเชื้อร้ายนี้
4.3 ข้อ 10-15 เปาโลเรียกร้องให้ทิโมธียืนหยัดทำสิ่งที่ขัดแย้งกับสังคมร่วมสมัยซึ่งกำลังเสื่อมทรามลง โดยหนุนใจว่า (1) ให้ระลึกถึงอดีตที่ทิโมธีเคยตามอย่างเปาโลทั้งความเชื่อและความประพฤติ
(2) ให้ตั้งมั่นในสิ่งได้เรียนรู้แล้วต่อไปในอนาคต สิ่งที่ทิโมธีได้เรียนรู้นั้น ด้านหนึ่งมาจากพระคัมภีร์พันธ-สัญญาเดิมที่ได้เรียนรู้ตั้งแต่เด็ก และอีกด้านมาจากคำสอนของเปาโล ทั้งหมดรวมกันก็คือข่าวประเสริฐที่ถูกต้องตามพระคัมภีร์
4.4 ข้อ 15 เปาโลยืนยันความจริง 2 ประการเกี่ยวกับพระคัมภีร์ คือ
(1) ที่มา พระคัมภีร์ทุกตอนมีจุดกำเนิดจากพระทัยพระเจ้า และพระเจ้าตรัสกับมนุษย์โดยลมหายใจหรือพระวิญญาณของพระองค์ (น. 125) พระคัมภีร์จึงเป็นพระวจนะของพระเจ้า
(2) จุดมุ่งหมาย พระคัมภีร์มีเพื่อประโยชน์แก่มนุษย์ใน 2 ด้าน คือ สอนให้ถึงความรอด และสอนให้เติบโตเป็นคริสเตียนที่มีวุฒิภาวะ
5. คำกำชับให้ประกาศข่าวประเสริฐ (2 ทธ. 4:1-22)
แก่นเรื่องของ 2 ทิโมธี บทที่ 4 คือ จงประกาศข่าวประเสริฐ
คำกำชับนี้พิจารณาได้ใน 3 ด้าน ดังนี้
5.1 ข้อ 2 เนื้อหาคำกำชับ คือ จงประกาศ “พระวจนะ” ซึ่งก็คือสิ่งเดียวกับ “ข่าวประเสริฐ” (1:11) หรือบางครั้งเปาโลก็ใช้ว่า “คำสอนที่ถูกต้อง” (1:13; 4:3) หรือ “ความจริง” (4:4) หรือ “ความเชื่อ” (4:7)
ข้อคิด สิ่งที่เปาโลกำชับให้สืบทอดคือ ความเชื่อตามแบบพระคัมภีร์หรือความเชื่อแบบอัครทูตเท่านั้น แต่ในแวดวงคริสเตียนก็ยังพบความเชื่อที่บวกอย่างอื่นเข้าไปด้วยเสมอๆ บ้างก็บวกจารีตหรือธรรมเนียม และที่เห็นในทุกวันนี้ก็คือบวกกระแสโลก เช่น สนใจวุฒิการศึกษามากกว่าสาระความรู้และชีวิต เอาหลักบริหารธุรกิจมาใช้บริหารพันธกิจโดยไม่ระมัดระวังเท่าที่ควร เป็นต้น
การประกาศพระวจนะต้องมีลักษณะ 4 ประการ คือ
(1) ทำอย่างขะมักเขม้น หมายถึงทำอย่างจริงจังและเร่งร้อน
(2) ใช้วิธีที่เหมาะสมแก่ผู้ฟัง เช่น คนที่สงสัย ต้องโน้มน้าวด้วยเหตุผล, คนที่ทำบาป ต้องเตือนสติ, คนที่หวั่นกลัว ต้องหนุนใจ
(3) ทำด้วยความอดทน ต้องรอคอยให้ผู้รับตัดสินใจ ไม่ใช้วิธีกดดันหรือใช้เล่ห์เพทุบาย
(4) ทำอย่างมีปัญญา ไม่เพียงประกาศพระวจนะเท่านั้น แต่สั่งสอนพระวจนะด้วย
5.2 ข้อ 1, 3-8 รากฐานคำกำชับ เปาโลให้มองดู 3 สิ่งซึ่งจะเสริมแรงบันดาลใจให้ทิโมธี ได้แก่
(1) พระคริสต์ผู้จะเสด็จมา เปาโลกำชับทิโมธีโดยการบัญชาและเห็นชอบของพระเจ้า เพราะสิ่งดีที่สุดที่จะกระตุ้นให้เกิดพลังใจในการดำเนินชีวิตและรับใช้อย่างซื่อสัตย์ก็คือ การแน่ใจว่านี่เป็นภารกิจที่พระเจ้าทรงมอบหมาย (น. 135) เปาโลยังอ้างถึงการเสด็จมาของพระคริสต์และอาณาจักรของพระองค์ เพราะการเสด็จกลับมา การพิพากษา และอาณาจักรของพระคริสต์ ควรเป็นสิ่งที่เราเฝ้าคอยด้วยความมั่นใจและจะมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการรับใช้ของเรา
(2) ความเป็นไปของสังคมร่วมสมัย นี่เป็นยุคที่ยากลำบากก่อนพระคริสต์เสด็จกลับมา เป็นเวลาซึ่งต้องการผู้รับใช้ที่จะทำหน้าที่อย่างสัตย์ซื่อ คำแนะนำของเปาโลสำหรับสถานการณ์เช่นนี้ คือ (ก) เมื่อผู้คนต่างไม่มั่นคงในความคิดและความประพฤติ ทิโมธีต้องหนักแน่นมั่นคง (ข) แม้ผู้คนต่างไม่ยอมฟังคำสอนที่ถูกต้อง ทิโมธีต้องยืนหยัดสอนต่อไป (ค) เมื่อผู้คนตกอยู่ในอวิชชา ไม่รู้ความจริงของข่าวประเสริฐ ทิโมธีต้องทำหน้าที่ประกาศข่าวประเสริฐ (ง) แม้ผู้คนพากันละทิ้งทิโมธีไปติดตามครูสอนเท็จ ทิโมธีก็ยังต้องทำหน้าที่ต่อไปให้สำเร็จ
(3) สภาพของเปาโลเอง เปาโลได้รักษาและประกาศข่าวประเสริฐอย่างเต็มกำลังมาจนถึงที่สุดแล้ว และบัดนี้ใกล้ถึงเวลาที่เขาจะต้องพลีชีพเพื่อพระคริสต์ หลังจากนั้นเขาก็จะได้รับมงกุฎ คือรางวัลที่พระองค์จะทรงมอบให้ เมื่อคนรุ่นหนึ่งกำลังจะจากไป จำเป็นอย่างยิ่งที่คนอีกรุ่นจะต้องก้าวขึ้นมารับหน้าที่แทน
5.3 ข้อ 9-22 ตัวอย่างประกอบคำกำชับ ในการกำชับทิโมธี เปาโลได้ยกการกระทำของตนเป็นตัวอย่างด้วย กล่าวคือ เปาโลไม่เพียงเทศนาข่าวประเสริฐมาตลอด แต่ยังได้ประกาศข่าวประเสริฐอย่างกล้าหาญในศาลโรมันขณะที่ถูกไต่สวนคดีร้ายแรงซึ่งเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของตน และเขาทำเช่นนั้นแม้อยู่ในสภาพที่น่าสลดใจและรู้สึกว้าเหว่ ความว้าเหว่ของเปาโลอาจเกิดจากการรู้สึกว่าถูกมิตรสหายทอดทิ้ง ถูกศัตรูต่อต้าน และไม่มีใครช่วยเขาเลยในการแก้คดี ถึงอย่างนั้น สิ่งที่เปาโลห่วงใยก็ไม่ใช่ตัวเอง แต่เป็นข่าวประเสริฐของพระคริสต์
บทสรุปชีวิตของเปาโลคือ รับพระคุณจากพระคริสต์ และถวายพระสิริคืนแด่พระองค์ ชีวิตและการรับใช้ของคริสเตียนทุกคนก็ควรเป็นเช่นนี้ (น. 159)
___________________________________________
[1] สตอทท์, จอห์น อาร์. ดับบลิว, 2 ทิโมธี, พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุงเทพฯ: กนกบรรณสาร, 2000).