1088 จำนวนผู้เข้าชม |
อะไรเป็นด้านที่เข้าใจผิดมากที่สุดเกี่ยวกับ “การพัฒนาจิตวิญญาณ” (Spiritual Formation)?
คือมันเป็นสิ่งที่เป็น “พิเศษ” ของการเป็นคริสเตียน ที่คุณจะต้องเป็นคนพิเศษ มีสิทธิพิเศษ มีหลายคนที่ถูกดึงดูดด้วยเหตุผลที่ไม่ถูกต้อง ส่วนคนอื่นๆรู้สึกว่าตัวเองไม่เกี่ยวข้องกับเรื่อง “จิตวิญญาณ” ด้วยโดยความรู้สึกแบบ “ฉันไม่เต็มด้วยพระวิญญาณ ฉันเป็นพวกชอบฟุตบอล หรือ งานเลี้ยง หรือ ฉันกำลังมุ่งทำมาหากิน” จริงๆ แล้วผมพยายามที่จะหลีกเลี่ยงคำนั้น
หลายคนคิดว่า เรื่องจิตวิญญาณนั้น เป็นเรื่องของการที่เรามี “อารมณ์ความรู้สึกใกล้ชิด” กับพระเจ้า
นั่นเป็นมุมมองของคน “ไร้เดียงสา” ในเรื่องจิตวิญญาณ สิ่งที่เรากำลังพูดถึงคือชีวิตคริสเตียน มันคือการติดตามพระเยซู เรื่องของจิตวิญญาณไม่ได้แตกต่างจากที่สิ่งที่เราได้ทำมาแล้วสองพันปี เช่น การไปคริสตจักร รับบัพติศมาและมหาสนิท เรียนรู้จักการอธิษฐาน และอ่านพระคัมภีร์อย่างถูกต้อง มันเป็นสิ่ง “ธรรมดาๆ”
คำสัญญาในเรื่องของ “ความใกล้ชิดกับพระเจ้า” นั้นทั้งถูกและผิดในเวลาเดียวกัน มันมีความใกล้ชิดกับพระเจ้า แต่มันก็เหมือนกับการใกล้ชิดด้านอื่นๆ มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของคุณ ในการแต่งงานคุณไม่ได้รู้สึกใกล้ชิดกันตลอดเวลา หรือเรื่องเพื่อน ความใกล้ชิดโดยพื้นฐานแล้วไม่ได้เป็นเรื่องอารมณ์ที่ลึกลับ แต่เป็นเรื่องวิถีชีวิต ความใกล้ชิดเป็นเรื่องของชีวิตที่เปิดเผย จริงใจต่อกัน มั่นคงไว้ใจได้
เรื่องฝ่ายวิญญาณของคริสเตียนที่ยิ่งใหญ่ในอดีตดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้น?
หนึ่งในเรื่องราวที่ชื่นชอบของผมคือ เรื่องของ เทเรซ่า แห่ง อวิล่า (Teresa of Avila) เธอนั่งอยู่ในห้องครัวพร้อมกับไก่อบ และเธอถือมันไว้ด้วยมือทั้งสองและเธอกำลังแทะมัน และกินอย่างเมามัน มีแม่ชีคนหนึ่งเข้ามาเห็นก็ตกใจที่เธอทำเช่นนี้ มี พฤติกรรมแบบนี้ เธอพูดว่า"เมื่อฉันกินไก่ ฉันก็กินไก่ เมื่อฉันอธิษฐาน ฉันก็อธิษฐาน"
ถ้าคุณอ่าน เรื่องราวของผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น พวกเขาก็เป็นคนธรรมดา อาจมีช่วงเวลาที่พวกเขามีประสบการณ์เหนือธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งอาจจะเป็นครั้งหนึ่งในรอบสิบปี และเมื่อประสบการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นพวกเขาก็แปลกใจด้วย พวกเขาไม่ได้ทำอะไรให้มันเกิดขึ้น เราต้องแก้ไขให้คนไม่มองภาพนักบุญเหล่านี้ว่าเป็นภาพชีวิตของคริสเตียนที่ยอดเยี่ยม มันเป็นชีวิตที่ยอดเยี่ยมแต่ก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมแบบที่คนจำนวนมากคิด
กลุ่มอีแวนเจลิคอล ได้บอกผู้คนอย่างถูกต้องว่าพวกเขาสามารถมี "ความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเจ้าได้" เป็นการแนะนำการมี “ใกล้ชิดด้านจิตวิญญาณ” แบบหนึ่งหรือปล่าว?
คำทั้งหมดเหล่านี้ทำให้เกิดความสับสนขึ้นในสังคมของเรา ถ้าหาก “ความใกล้ชิด” หมายถึงการเปิดเผย ความซื่อสัตย์และความจริง ผมไม่จำเป็นต้องปกป้องและปฏิเสธในความเป็นผม เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เยี่ยมยอดแล้ว แต่ในวัฒนธรรมของเรา ”ความใกล้ชิด” มักจะมีความหมายในเรื่องทางเพศ ซึ่งต้องการความสมบูรณ์ ดังนั้นคนต้องการความใกล้ชิดเพราะผมต้องการบางอย่าง ”มากขึ้น” จากชีวิต มันแทบไม่มีความรู้สึกของการเสียสละ การให้ หรือความเปิดเผยความอ่อนแอตนเอง มันมีสองวิธีที่แตกต่างกันในเรื่อง “ความใกล้ชิด” สำหรับชาวอเมริกัน คำว่า “ความใกล้ชิด” นี้มักจะเป็นการที่เราฉวยอะไรบางอย่างมาจากอย่างอื่น (หรือคนอื่น) มันก็เลยทำให้ความหมายสับสนไปหมด
มันอันตรายมากที่จะใช้ภาษาของวัฒนธรรมในการแปล(ตีความ)พระกิตติคุณ คำศัพท์ของเราจะต้องมีการสอนและการทดสอบโดยพระคัมภีร์ จริงๆแล้วเรามีคำศัพท์และไวยากรณ์ที่ดี และเราควรที่จะเริ่มต้นให้ความสนใจกับมัน เพราะวิธีที่เราหยิบเอาคำจากที่นี่ และที่นั่น เพื่อที่จะ “ดึงดูดความสนใจ” ผู้ไม่เชื่อนั้น ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
กลุ่มอีแวนเจลิคอล หมายถึงคริสเตียนที่จริงจังต่อสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์ และยึดถือว่าพระเยซูคริสต์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอด อาจกล่าวได้ว่ากลุ่มคริสเตียนสายหลักๆในโปรเทสแทนต์อยู่ในกลุ่มอีแวนเจลิคัล (ผู้แปล)
ความเสื่อมของคำว่าจิตวิญญาณได้เกิดขึ้นแม้แต่ในแวดวงคริสเตียน – มันเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของกลุ่ม นิว เอจ หรือไม่?
วิถีของกลุ่มนิวเอจ (The New Age) เป็นวิถีเก่าๆ มันเกิดขึ้นมาเป็นเวลานานแล้ว มันเป็นทางลัดฝ่ายวิญญาณแบบถูกๆ ผมคิดว่าเราจะต้องใช้คำว่าจิตวิญญาณ – มันเป็นการหลีกเลี่ยงความธรรมดา ความสามัญ ชีวิตประจำวัน วัตถุสิ่งของ มันเป็นรูปแบบของพวกลัทธินอสติก และ มันเป็นสิ่งดึงดูดใจอย่างมากเพราะว่า เรื่องจิตวิญญาณไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง การล้างจาน การเปลี่ยนผ้าอ้อม หรือ การไปทำงาน มันผลักเราออกจากเรื่องงาน เรื่องคน ความบาป ปัญหาและความไม่สะดวกสบายต่างๆ
ผมเป็นศิษยาภิบาลมาตลอดชีวิต สัก 45 ปี ผมรักงานนี้ แต่ผมจะบอกความจริงกับคุณว่า คนที่รบกวนใจผมมากที่สุดคือคนที่มาถามผมว่า “อาจารย์ มีวิธีไหนที่ผมจะเป็นคนฝ่ายจิตวิญญาณ” ลืมเรื่องจิตวิญญาณไปเลยครับ ทำไมไม่ลองพยายาม “รักสามี”ดูล่ะ นั่นแหละเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่เราจะคุยกันได้ แต่ว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจ แล้วถ้าเป็นเรื่อง วิธีการรักลูกๆของคุณ ยอมรับพวกเขาอย่างที่เขาเป็น?
"จริงๆ แล้ว ชื่อของผมไม่ควรไปเกี่ยวข้องกับเรื่องจิตวิญญาณแม้แต่น้อย"
แต่มันก็เกี่ยวอย่างมาก
ผมรู้ ไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่ผมได้ตำแหน่งที่น่าอึดอัดนี้คือการเป็นอาจารย์ด้าน "พัฒนาจิตวิญญาณ"ที่รีเจ้นท์ เอาล่ะทีนี้ แล้วคุณจะทำอย่างไร?
คุณทำให้เรื่องจิตวิญญาณกลายเป็นเรื่องที่ดูน่าเบื่อหน่าย
ผมไม่อยากจะบอกว่าพวกเราที่เป็นผู้ที่ติดตามพระเยซู มีชีวิตที่ไม่สนุกสนาน ไม่มีความสุข ไม่มีความร่าเริง ไม่มีความปีติยินดี ไม่มีความอิ่มเอิบใจ เพียงแต่พวกเขาไม่ได้เป็นอย่างที่ “ผู้บริโภค” คิดว่าพวกเขาเป็น เมื่อเราประกาศพระกิตติคุณตามค่านิยมทางโลก เราโกหกคนอื่น เราโกหกพวกเขา เพราะนี้เป็นชีวิตใหม่ มันเป็นชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการติดตามพระเยซู มันเกี่ยวข้องกับไม้กางเขน มันเกี่ยวข้องกับความตาย การเสียสละที่ยอมรับได้ เรายอมถวายชีวิตของเรา
พระกิตติคุณมาระโก ให้ภาพกับเราด้วยวิธีการนี้ ครึ่งแรกของพระกิตติคุณ พระเยซูได้สำแดงให้ประชาชนเห็นถึงการมีชีวิตอยู่ ถึงการใช้ชีวิต พระองค์รักษาเขาทุกคนและพอมาถึงตรงกลางเล่ม พระองค์ก็ข้ามไปอีกเรื่อง พระองค์เริ่มทำให้ผู้คนเห็นถึงวิธีการตาย “เวลานี้ ที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เรากำลังจะทำให้ท่านเห็นว่าการที่เรายอมมอบตัวเราเองนั้นต้องทำอย่างไร” นั่นคือชีวิตที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ เรียนรู้วิธีการตาย และเมื่อคุณเรียนรู้วิธีการตาย คุณเริ่มที่จะหลุดจากความเชื่อผิดๆ และคุณเริ่มที่จะสามารถเข้าใจในความใกล้ชิดและความรักที่แท้จริงได้
มันเกี่ยวข้องกับการเป็นฝ่ายรับด้วยสติปัญญา เพื่อว่าพื้นฐานของความสัมพันธ์ของเราคือ การรับ การยอมจำนน แทนที่จะเป็นการให้ การฉวย และการทำ ในเรื่องเหล่านี้เราทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร เราถูกฝึกให้เป็นคนรักษาสิทธิของตัวเอง เป็นคนที่ต้องได้ ต้องทำ ต้องใช้ ต้องแสดงออก
การกลับใจ ตายต่อตัวเอง การยอมจำนน - สิ่งเหล่านี้ไม่น่าดึงดูดใจที่จะนำคนให้เข้ามาสู่ความเชื่อเลย
ผมคิดว่าในวินาทีที่คุณพูดแบบนี้ คุณกำลังเจอปัญหาแน่นอน เพราะเรากำลังเอาตัวเราร่วมกับโลกของผู้บริโภคและทุกอย่างก็จะกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อให้บางสิ่งบางอย่างกับคุณ เราไม่ต้องการมากกว่าที่มีอยู่แล้ว เราไม่จำเป็นต้องมีสิ่งที่ดีกว่าชีวิตที่เราเป็นอยู่นี้ เรากำลังเรียนรู้การใช้ชีวิต
ผมคิดว่าคนจะเบื่อกับวิธีการที่ผู้บริโภคนำเสนอ ถึงแม้ว่าพวกเขากำลัง ”ติด” สิ่งเหล่านั้น แต่ถ้าเราให้พระกิตติคุณในแง่ของผลประโยชน์ เรากำลังทำให้คนผิดหวัง พวกเรากำลังโกหกเขาอยู่
นี่ไม่ได้เป็นสิ่งที่พระคัมภีร์ของเราได้บันทึกไว้ นี้ไม่ได้เป็นวิธีที่พระเยซูเสด็จมาในหมู่พวกเรา มันไม่ได้เป็นวิธีการที่ อ.เปาโล ประกาศ แล้วเรารับสิ่งเหล่านี้มาจากไหน? เรามีตำราเรียน เรามีพระคัมภีร์ซึ่งโดยรวมกำลังพูดว่า "คุณกำลังจะไปทางที่ผิด หันกลับมา วัฒนธรรมคือยาพิษ"
เราได้ตระหนักหรือไม่ว่าวัฒนธรรมของชาวคานาอันที่เกี่ยวกับพระบาอัลนั้นตอนนี้ได้เกิดขึ้นอีกครั้งในคริสตจักรของคนอเมริกันซึ่งเกือบเหมือนกันจริงๆ? ศาสนาพระบาอัลเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกดี การนมัสการของพระบาอัล เป็นการหมกมุ่นในสิ่งที่ฉันสามารถ “ได้” จากมัน และแน่นอนว่ามันประสบความสำเร็จอย่างเหลือเชื่อ! พวกปุโรหิตของพระบาอัลได้รวบรวมฝูงชนเป็นจำนวนมาก มากกว่าผู้ติดตามพระยาเวห์ 20 เท่า คนมีเพศสัมพันธ์ มีความตื่นเต้น มีเพลง มีความปีติยินดี มีการเต้นรำ "เพื่อน เรามีสาวๆมากกว่าที่นี่ เรามีรูปปั้นสวยๆ หญิงสาว และการเฉลิมฉลอง" สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และพวกฮีบรูตอบสนองสิ่งเหล่านี้อย่างไร โดยพระคำ พระคำหรือ? โอ แต่อย่างน้อย พวกฮีบรูก็มีการเฉลิมฉลองเหมือนกัน
สิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง หรือผลที่ยิ่งใหญ่จะได้รับในความเชื่อของคริสเตียนคือ “ความรอด” ยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่ มั้ย “เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์และคุณจะได้รับความรอด” นี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือปล่าวในการดึงดูดใจผู้ฟัง
นี่เป็นคำที่ใหญ่ที่สุดของเรา – ความรอด ได้รับความช่วยเหลือ เราได้รับการช่วยเหลือจากวิถีชีวิตที่ไม่มีการฟื้นคืนพระชนม์ เราได้รับการช่วยเหลือจากตัวเราเอง อีกทางหนึ่งที่สามารถอธิบายชีวิตด้านจิตวิญญาณคือ เมื่อคุณเหนื่อยและเบื่อกับตัวเอง คุณก็จะไปหาสิ่งที่ดีกว่า นั่นคือการติดตามพระเยซูคริสต์
ณ นาทีแรกที่เราเริ่มต้นประกาศเรื่องความเชื่อ ในแง่ของผลประโยชน์ เราก็ทำให้ปัญหานั้นมีอาการกำเริบ “โดยพระเยซูคริสต์ คุณดีขึ้น แข็งแรง เป็นที่ชื่นชอบมากขึ้น คุณจะเพลิดเพลินไปกับความสุขบางอย่าง" แต่มันเป็นเพียงแค่เรื่องที่นึกถึงตัวเองมากกว่า แทนที่ เราต้องการที่จะนำคนให้เบื่อตัวเอง เพื่อให้พวกเขาแสวงหาหรือมองหาพระเยซู
เราเองก็ได้พบคนที่มีจิตวิญญาณบางประเภทมาแล้วบ้าง เธอเป็นคนที่ยอดเยี่ยม เธอรักพระเจ้า เธออธิษฐานและอ่านพระคัมภีร์ทุกเวลา แต่ทั้งหมดที่เธอคิด เกี่ยวกับตัวเธอเองทั้งหมด เธอไม่ได้เป็นคนเห็นแก่ตัว แต่เธอเองที่เป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งที่เธอทำ "ฉันสามารถเป็นพยานที่ดีกว่าได้อย่างไร? ฉันสามารถทำสิ่งนี้ได้ดีกว่านี้อย่างไร? ฉันสามารถดูแลคนนี้ได้ดีกว่านี้อย่างไร" มันเป็นฉัน ฉัน ฉัน ตัวฉันเองที่ปิดบังจนยากที่จะเห็นเพราะคำพูดฝ่ายจิตวิญญาณของเธอมันทำให้เรามองไม่เห็นตัวตนแท้จริงของเธอ
ดังนั้นวิธีที่เราควรจะเห็นภาพ “ชีวิตคริสเตียน” นั้นควรเป็นอย่างไร?
ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมาที่คริสตจักร มีคู่สามีภรรยายืนอยู่ด้านหน้ากับเราพร้อมกับเด็กสองคนที่เสียงดังอึกทึก และคนที่นั่งสองแถวถัดจากเราก็เป็นสามีภรรยาอีกคู่หนึ่ง ที่มีเด็กสองคนที่ส่งเสียงดังมากเช่นกัน นี่เป็นโบสถ์ที่คนส่วนใหญ่มีอายุ คนเหล่านี้มีแบบฉบับของพวกเขา และพวกลูกๆพวกเขาก็ออกจากบ้านไปนานมาก การนมัสการนั้นจึงไม่ค่อยดีเท่าที่ควร มันเป็นการนมัสการที่ไม่ดี แต่หลังจบนมัสการผมเห็นผู้สูงอายุเหล่านี้ห้าหกคนเดินมากอดแม่ของเด็กที่เสียงดัง และสัมผัสลูกของเธอ แสดงความเห็นอกเห็นใจกัน จริงๆ พวกเขาควรจะหงุดหงิดมากกว่า
แล้วทำไมคนถึงได้ไปคริสตจักรแบบนั้น ในเมื่อพวกเขาสามารถไปคริสตจักรที่มีสถานรับเลี้ยงเด็กให้ ที่มีแอร์ และมีสิ่งอื่นๆอีก ก็เพราะว่าพวกเขาเป็นลูเธอร์แรน พวกเขาไม่สนใจความวุ่นวาย ชาวนอรเวย์ ลูเธอร์แรน! และคริสตจักรแบบเดียวกันนี้ เมื่อเร็วๆนี้ได้ต้อนรับ หญิงสาวคนหนึ่ง พร้อมกับเด็กทารก และเด็กชายอายุสามขวบ และเขาก็ให้บัพติศมากับเด็กในไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ไม่มีวี่แววของผู้ชายที่อยู่ด้วยกับเธอ เธอไม่เคยแต่งงาน และเด็กทั้งสองก็เป็นลูกคนละพ่อ เธอมาที่คริสตจักรและต้องการให้ลูก ๆ ของเธอรับบัพติศมา เธอเป็นคริสเตียนและต้องการที่จะปฏิบัติตามในทางคริสเตียน ดังนั้นคู่สามีภรรยา คู่หนึ่งรับเป็นพ่อแม่อุปถัมภ์ให้ และหลังจากนั้นมีคู่สามีภรรยาสามสี่คู่ ทุกอาทิตย์ พยายามที่จะใช้เวลากับเธอ
เอาล่ะ "ความสุข"อยู่ที่ไหนในคริสตจักรแห่งนี้? นี่คือคนนอร์เวย์ที่น่าเศร้า! แต่กลับมีความสุขมากมาย มีชีวิตที่ครบบริบูรณ์กำลังดำเนินไป แต่ไม่ได้ครบบริบูรณ์อย่างที่ผู้ที่ไม่ใช่คริสเตียนคิด ผมคิดว่ามีหลายอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในคริสตจักรแบบนี้ และมันก็ต่อต้านกับวัฒนธรรมอย่างมาก พวกเขาเต็มไปด้วยความสุข ความสัตย์ซื่อ ความเชื่อฟัง และการดูแลเอาใจใส่ แต่คุณแน่ใจได้เลยว่าคุณจะไม่รู้สิ่งเหล่านี้โดยการอ่านคู่มือที่เกี่ยวกับ “การเติบโตของคริสตจักร” หรือคุณคิดว่าคุณจะเจอ?
แต่คริสเตียนหลายคนเห็นคริสตจักรแบบนี้ ก็จะบอกเป็นคริสตจักรที่ตายแล้ว เป็นเพียงการแสดงออกของความเชื่อของสถาบันแห่งหนึ่ง
แล้วคริสตจักรไหนล่ะที่ไม่เป็นสถาบัน? ไม่มีใครไม่มีปัญหากับคริสตจักร เพราะว่ามันมีความบาปอยู่ใน คริสตจักร แต่ไม่มีที่ไหนที่จะทำให้เราเป็นคริสเตียนได้นอกจากที่คริสตจักร พวกเขาทำบาปในธนาคาร ทำบาปในร้านขายของ ผมไม่เข้าใจในคำวิพากวิจารณ์ที่ “ไร้เดียงสา” ต่อสถาบัน ผมไม่เข้าใจจริงๆ
เฟรเดอริค ฟอน ฮูเกล (Frederick von Hugel) กล่าวว่าการเป็น”สถาบัน”ของคริสตจักรเป็นเหมือนเปลือกต้นไม้ เปลือกไม้นั้นไม่มีชีวิต มันเป็นไม้แข็งที่ตาย แต่เปลือกได้ปกป้องชีวิตของต้นไม้ที่อยู่ภายในเปลือก และต้นไม้ก็เติบโต เติบโต เติบโตและเติบโต ถ้าคุณเอาเปลือกไม้ออกก็มีแนวโน้มที่จะเกิดโรคต่างๆ, การขาดน้ำของต้นไม้ และก็อาจตายได้ ดังนั้น ใช่แล้วครับ คริสตจักรเหมือนเป็นสิ่งที่ตาย แต่มันก็ปกป้องสิ่งที่มีชีวิตที่อยู่ภายใน และเมื่อคุณพยายามที่จะมีคริสตจักรที่ไม่มีเปลือก มันไม่สามารถที่จะอยู่อย่างยาวนานได้ มันจะหายไป เริ่มป่วย และก็มีแนวโน้มที่จะเกิดโรคได้อีกหลายประเภท พวกนอกรีต และหลงตัวเอง
ในการเขียนของผม ผมหวังที่จะฟื้นสภาพความเป็นจริงของการประชุม ว่ามันคืออะไร มันเป็นของประทานจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำไมเราจึงพยายามทำให้โบสถ์เป็นสิ่งในอุดมคติทั้งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่เคยทำอย่างนั้น? ไม่มีแบบอย่างของคริสตจักรในพระคัมภีร์ในเรื่องนี้ ไม่มีเลย ณ ปัจจุบันนี้เราเองก็มีประวัติศาสตร์มาสองพันปีแล้ว ทำไมเราถึงไม่ฉลาดเอาซะเลย?
ตั้งแต่สมัยการปฏิรูปศาสนา เรามีความยอดเยี่ยมในความคิดที่ว่าคริสตจักรสามารถปฏิรูปได้
มันไม่ได้เกิดขึ้น สำหรับผมเอง ผมสนับสนุนการปฏิรูปอยู่เสมอ แต่การที่จะคิดว่าเราสามารถจะปฏิรูปคริสตจักรได้นั้นเป็นเรื่องที่ดูโง่ ผมคิดว่าความบาปที่คงอยู่กับศิษยาภิบาล โดยเฉพาะศิษยาภิบาลของกลุ่มอีแวนเจลิคอลคือการขาดความอดทน พวกเรามีเป้าหมาย พวกเรามีพันธกิจ เรากำลังจะช่วยกู้โลก เรากำลังประกาศกับทุกคน เรากำลังจะทำสิ่งที่ดี และทำให้คริสตจักรได้รับการเติมเต็ม สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมาก เป้าหมายต่างๆเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ว่ามันช้า เป็นงานที่ช้า เป็นงานด้านจิตวิญญาณ สิ่งนี้จะนำชีวิตของผู้คนให้เข้าสู่ การเชื่อฟัง ความรัก และ ความชื่นชมยินดีต่อพระเจ้า
และเราก็ขาดความอดทน และเริ่มใช้วิธีลัด และใช้วิธีต่างๆที่มีอยู่ เราพูดเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่จะได้ เราจัดการควบคุมผู้คน ข่มขู่เขา เราใช้ภาษาที่ไม่เป็นส่วนตัวอย่างไม่น่าเชื่อ ภาษาที่ใช้จัดการ ควบคุม บิดเบือน
คนทั่วๆไปไม่มีความคิดว่า คริสตจักรกำลังจัดการ ควบคุม หรือ ข่มขู่
เมื่อใดก็ตามที่ “ความรู้สึกผิด” จะถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อให้คนที่จะทำอะไรบางอย่างที่ดี, ที่ไม่ดี, ที่ไม่แยแส – มันกำลังเป็นการควบคุม แล้วมีภาษาพูดเพื่อตบตาคน นำคนให้อยู่ในโปรแกรม ที่จะให้พวกเขาได้มีส่วนร่วม โดยจะสัญญากับพวกเขาอย่างใดอย่างหนึ่ง ผมมีเพื่อนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องประเภทนี้ เขามักจะพูดว่า"คุณต้องระบุถึงความรู้สึกที่คนต้องการให้ได้ แล้วคุณก็ต้องจัดการให้รายการต่างๆตรงกับความต้องการที่เขารู้สึก" มันง่ายมากที่จะจัดการกับคน เราคุ้นเคยกับการจัดการโดยภาพของอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมการประชาสัมพันธ์ และนักการเมืองที่เราแทบจะไม่ทราบว่าเรากำลังถูกหลอกลวง
ขาดความอดทนจนยกเลิกวิธีการของพระเยซู แทนที่จะให้งานของพระเยซูสำเร็จ แต่กลับทำลายงานด้านจิตวิญญาณ เพราะเรากำลังใช้สิ่งที่ไม่ได้อยู่ในพระคัมภีร์ ไม่ใช้ทางพระเยซูที่จะทำสิ่งในที่พระเยซูได้ทำมาแล้ว นั่นเป็นเหตุผลที่จิตวิญญาณอยู่ในสภาพที่ยุ่งเหยิงมากในทุกวันนี้
แต่ศิษยาภิบาลจำนวนมากเห็นคนที่ทุกข์ทรมานในชีวิตการแต่งงาน จากการติดยาเสพติด, ความโลภ และ ก็อยากที่จะช่วยพวกเขาโดยทันที โดยใช้วิธีใดก็ได้ที่จะได้ผล
ใช่แล้วครับ คุณต้องยอมรับในผลที่จะตามมาจากการที่คุณใจร้อน แล้วเราจะตอบสนองความต้องการได้อย่างไร เราทำอย่างพระเยซูหรือเปล่า หรือว่าเราทำแบบวิธีของห้างวอลมาร์ท เรื่องของจิตวิญญาณ ไม่ได้เกี่ยวกับผลลัพธ์ หรือ ผลประโยชน์ หรือ สิ่งใดก็ตาม มันเกี่ยวกับ “วิธีการ” มันเกี่ยวกับว่าคุณทำ”อย่างไร” คุณอยู่ใน “ความจริง” ได้อย่างไร?
ดังนั้นคุณจะทำอย่างไรเพื่อช่วยผู้คนเหล่านี้? ความต้องการที่มีมากมาย ก็ให้คุณทำวิธีที่พระเยซูเคยทำ ให้ความสำคัญกับคนแต่ละคน คุณทำงานแห่งพระกิตติคุณหรืองานของแผ่นดินด้วยวิถีทางที่”ไม่เป็นส่วนตัว” ไม่ได้
เราอยู่ในตรีเอกานุภาพ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำจะต้องอยู่ในบริบทของตีเอกานุภาพ ซึ่งหมายความว่า “เป็นส่วนตัว” “มีความสัมพันธ์” ในนาทีที่คุณจะเริ่มทำสิ่งที่ไม่เป็นส่วนตัว ทำแบบเป็นหน้าที่ เน้นที่ฝูงชน คุณกำลังปฏิเสธพระกิตติคุณ แต่นั่นคือทั้งหมดที่เรายังคงกระทำ
พระเยซูทรงเป็นความจริงและเป็นชีวิต แต่สิ่งแรกพระองค์ทรงเป็น “ทางนั้น” เราไม่สามารถทำงานของพระเยซูในทางของมารได้
ผมรู้สึกเป็นห่วงเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะมีศิษยาภิบาลจำนวนมากที่ใช้วิธีเหล่านี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เป็น “ส่วนตัว” ไม่มีเรื่อง “ความสัมพันธ์” สำหรับพวกเขา และพวกเขากลายมาเป็นผู้ที่มุ่งมั่น และประสบความสำเร็จ มันดูง่ายมากในวัฒนธรรมของเรา อย่างน้อยถ้าคุณเป็นคนที่ตัวสูงและมีรอยยิ้มที่กว้างขวาง และพวกเขาสูญเสียจิตวิญญาณของพวกเขาไป ไม่มีอะไรหลงเหลือให้พวกเขาหลังจาก 20 ปีผ่านไป ไม่งั้นพวกเขาก็สะดุดล้ม พวกเขาพยายามทุกสิ่ง และมันไม่ได้ผล และพวกเขาเลิก หรือเลิกและเริ่มทำอย่างอื่น อาจจะร้อยละ 90 ของเรื่องชู้สาวของศิษยาภิบาล ไม่ได้มาเรื่องตัณหา แต่มาจากความเบื่อกับการที่ไม่ได้มีชีวิตที่โรแมนติกอย่างที่พวกเขาคิดว่าจะได้รับ
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราจะไม่ใส่กรอบในแง่ของ “ความต้องการ” แต่เป็น “ความเกี่ยวข้อง”? คริสเตียนหลายคนคาดหวังว่าจะสามารถคุยได้กับคนรุ่นหลัง หรือ รุ่นใหม่หรือ ยุคหลัง หรือกลุ่มย่อยบางกลุ่ม เช่นคาวบอยหรือ นักมอเตอร์ไซค์ ผู้คนที่โดยทั่วไปดูเหมือนว่า “ไม่เกี่ยวข้อง” กับคริสตจักร
เมื่อคุณเริ่มต้นที่จะปรับพระกิตติคุณให้เข้ากับวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมวัยรุ่น วัฒนธรรมคนรุ่นใหม่ หรือวัฒนธรรมประเภทไหนก็ตาม เท่ากับว่าคุณได้เอาใจความสำคัญของพระกิตติคุณออกไป พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ไม่ได้เป็นอาณาจักรของโลกนี้ มันเป็นอาณาจักรที่แตกต่างจากโลกนี้
ลูกชายของผม เอริค เมื่อหกปีที่แล้วเขาได้บุกเบิกคริสตจักรใหม่ ในคณะเพรสไบทีเรียนมีค่ายที่จะฝึกอบรมสำหรับศิษยาภิบาลที่อยู่ในคริสตจักรใหม่ เป็นที่ๆจะเรียนรู้ว่าอะไรที่คุณควรจะทำอะไร ดังนั้นเอริคก็ไปร่วมค่าย มีครูคนหนึ่งบอกเขาว่า เขาไม่ควรใส่เสื้อคลุมศิษยาภิบาลและผ้าคลุม “เมื่อคุณออกไปจากค่ายนี้ คุณจะพบคนรุ่นนี้ในที่ๆเขาอยู่” ดังนั้นเอริคเป็นนักเรียนที่ดีและต้องการที่จะเอาใจเพื่อนของเขา เขาไม่ได้ใส่ชุดศิษยาภิบาล คริสตจักรของเขาเริ่มการประชุมในหอประชุมโรงเรียน เขาเริ่มโดยการสวมใส่สูททุกวันอาทิตย์ แต่เมื่อมาถึงวันอาทิตย์แรกของเทศกาลเตรียมรับการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ (Advent) และพวกเขากำลังจะทำพิธีศีลมหาสนิท เขาบอกผมว่า"พ่อ ผมคิดว่าผมทนไม่ไหว ผมต้องใส่ชุดศิษยาภิบาล"
เพื่อนบ้านของลูกชายผม โจเอลและภรรยาของเขา พวกเขาได้ไปร่วมในคริสตจักรของเอริค โจเอลเป็นตัวอย่างของบุคคลในการพัฒนาคริสตจักรใหม่ที่ได้รับการออกแบบสำหรับผู้บริหารระดับกลางแถบชานเมือง ผู้ไม่เคยไปคริสตจักร มีชีวิตในฝ่ายโลกอย่างสิ้นเชิง เอริคคิดว่าเขามาเพราะพวกเขาเป็นเพื่อนบ้านหรือเพราะเขาชอบเอริค หลังจากเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระเยซูคริสต์ เอริคก็ถามโจเอลว่า คิดอย่างไรกับการใส่เสื้อคลุมของเขา
เขากล่าวว่า "มันทำให้เขาประทับใจ ภรรยาและผมพูดถึงเรื่องนี้ด้วย ผมคิดว่าสิ่งที่เรากำลังต้องการจริงๆคือความศักดิ์สิทธิ์ เราทั้งสองคิดว่าเราพบมันแล้ว" ผมคิดว่า “ความเกี่ยวข้อง” เป็นเรื่องไร้สาระ ผมไม่คิดว่าคนจะสนใจว่ามีดนตรีแบบไหน หรือ คุณจะจัดรายการนมัสการอย่างไร พวกเขาต้องการที่ๆพระเจ้าได้รับการปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง ที่ๆพวกเขาได้รับการปฏิบัติอย่างจริงจัง เป็นที่ๆไม่มีการควบคุมอารมณ์ของพวกเขาหรือบำรุงตามความต้องการ “ผู้บริโภค” อย่างพวกเขา
ทำไมเราได้ถูกดึงดูดโดยความคิดแห่งการโฆษณา ประชาสัมพันธ์แบบนี้? ผมคิดว่ามันกำลังทำลายคริสตจักรของเรา
แต่คนอื่นอาจจะเดินเข้ามาในคริสตจักรของเอริค ดูเขากับชุดของเขาและเดินออกไปจากคริสตจักร คิดว่าที่นี่มีแต่ศาสนาอย่างเดียว(เคร่งศาสนา) เป็นคริสตจักรมากไป
ดังนั้นพวกเขาจะไปทำไม ถ้าพวกเขาไม่ได้นับถือศาสนา? พวกเขาไปคริสตจักรเพื่อทำอะไร?
แน่นอนว่ายังมีด้านอื่นอีกนอกจากด้านนี้ ถ้าหากว่าคุณกำลังไปที่คริสตจักรที่ทุกคนมี “บทบาท”ทางศาสนา คุณคงรู้สึกไม่ดีต่อโบสถ์นั้น แต่ภาพของ “การแสดง” หรือเรื่อง “บทบาท” ต่างๆมันมีให้เห็นในโบสถ์ทุกแบบ แม้กระทั่งโบสถ์ที่ไม่มีพิธีรีตองเลยอย่าง “โบสถ์คาวบอย”
แต่เรากำลังมีส่วนเกี่ยวข้องกับบางสิ่งบางอย่างที่มีความลึกลับที่ยิ่งใหญ่ พวกเราต้องการจะจัดการกับเรื่องลึกลับทั้งหมดนี้มั้ย เพื่อที่เราจะสามารถควบคุมมันได้ การ”เคารพยำเกรง” เป็นหัวใจของการนมัสการพระเจ้าไม่ใช่หรือ และหากเรานำเสนอการกระทำของความเชื่อในแบบไม่มีความลึกลับเลย ไม่มีความเคารพยำเกรง แล้วคนจะรู้ได้อย่างไรว่ามีอะไรบางอย่างที่มากกว่าอารมณ์ความรู้สึกของพวกเขาเอง ความต้องการของพวกเขาเอง มีบางอย่างที่มันมากกว่าความต้องการของผมที่กำลังเกิดขึ้น และผมจะไปถึงตรงนั้นได้อย่างไร ถ้าการนมัสการของคริสตจักรและรายการนมัสการมีจุดศูนย์กลางที่ความต้องการของผม?
“โบสถ์คาวบอย” คริสตจักรที่ตั้งขึ้นเพื่อตอบสนองกลุ่มคนที่ไม่ชอบไปคริสตจักรที่เป็นทางการ เก่าแก่ (ผู้แปล)
บางคนอาจจะเถียงว่ามันเป็นสิ่งสำคัญที่จะมีการนมัสการ ที่ผู้คนรู้สึกสบายเพื่อที่เขาจะสามารถได้ยินและเข้าใจพระกิตติคุณ
คิดว่าพวกเรากำลังคิดผิด นึกถึงเรื่องราวที่ผมได้บอกคุณเกี่ยวกับครอบครัวหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างหน้าเราในวันอาทิตย์ ไม่มีใครรู้สึกสะดวกสบาย ทั้งคริสตจักรกำลังเดือดร้อน และ พวกเขาอาจมีประสบการณ์มากขึ้นในพระกิตติคุณ ในขณะที่แขนของพวกเขาโอบกอดแม่ผู้น่าสงสาร ผู้ที่รู้สึกอับอายแทบแทรกแผ่นดิน
เราจะรู้ได้อย่างไรว่า พวกเขาได้เปลี่ยนจาก “การปรับพันธกิจไปหาวัฒนธรรม” มาสู่ “การเสียสละแห่งพระกิตติคุณ”
ผมคิดว่าการทดสอบอย่างหนึ่งคือ ผมได้ดำเนินชีวิตในเรื่องราวของพระเยซูมากขนาดไหน ใช้วิธีของพระองค์ เดินทางของพระเยซูแค่ไหน ผมได้มองข้ามความสัมพันธ์ ความใส่ใจส่วนตัว ความสัมพันธ์ส่วนตัว และใช้ทางลัด ใช้รายการ โปรแกรมที่มีเพื่อที่งานของผมจะได้เสร็จหรือปล่าว คุณไม่สามารถทำงานของพระเยซูโดยวิถีทางอื่นที่ไม่เป็นของพระองค์ ถึงแม้ว่าคุณสามารถที่จะ "ประสบความสำเร็จ" สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นลักษณะพิเศษของผมคือผมเลือกอยู่กับท้องถิ่น รากฐานของผมคือชีวิตอภิบาลซึ่งเป็นชีวิตที่ธรรมดา เรียบง่าย ดังนั้นในขณะที่ภาพพจน์ของเรื่องฝ่ายจิตวิญญาณกำลังเจิดจ้าอยู่รอบๆตัว ผมบอกความจริงว่าผมไม่ค่อยสนใจกับมัน และผมค่อนข้างจะระมัดระวัง เพราะว่า มันเหมือนกับว่าถูกถอนรากออก มันไม่ได้ถูกปลูกฝังลงในในสภาพสังคมท้องถิ่น ซึ่งเป็นสภาพอย่างเดียวที่คุณสามารถดำเนินชีวิตคริสเตียนได้