1452 จำนวนผู้เข้าชม |
“การชาระภาษีธุรกิจต่อกรมสรรพากร”
: กรณีศึกษา
ดวงใจ ป. (นักศึกษา M.Div. ไป-กลับ)
การทำธุรกิจในประเทศไทยมีการเสียภาษีมากมายหลายอย่าง จนเป็นที่รู้กันในบรรดานักธุรกิจ พ่อค้า แม่ค้าว่า “ใครเสียภาษีครบถ้วนก็โง่สิ้นดี ต้องหลบบ้าง จ่ายบ้าง จ่ายใต้โต๊ะบ้าง คือจ่ายให้น้อยที่สุด เท่าที่จำเป็นก็พอ เราจึงจะเจริญและร่ำรวย ประเทศชาติจะเสียหายหรือล่มจมก็ช่างเถอะ”
มกราคม พ.ศ. 2533 ข้าพเจ้าดวงใจ ป. แต่งงานกับคุณกิตติ ม. ครอบครัวทำการค้าขายวัสดุก่อสร้าง เช่น อิฐ หิน ปูน ทราย ไฟฟ้า ประปา เป็นต้น ข้าพเจ้าเคยทางานเป็นผู้จัดการโครงการ บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนและวิจัยตลาดอุตสาหกรรม (Industrial Research and Marketing Services) มีความรู้การใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไป ไม่มีความรู้ด้านบัญชี ข้าพเจ้าลาออกจากงานเพราะตั้งใจจะเลี้ยงลูกเอง (ฟังดูเป็นคุณแม่ที่แสนดี) แถมมีงานทำ เท่าที่ต้องการคือช่วยงานบัญชีของสามี (อืม ไม่ได้เป็นแค่แม่บ้านเฉยๆนะฮะ) เป็นการทำบัญชีง่ายๆ รับๆ จ่ายๆแล้วส่งเอกสารบัญชีใส่ถุงให้บริษัทรับจ้างทาบัญชีออกไปทาข้างนอกร้าน ที่ร้านจึงเสียภาษีต่างๆ เล็กๆ น้อยๆ ตามที่บริษัทรับจ้างทาบัญชีจะแจ้งตัวเลขให้จ่ายภาษีเท่าที่จำเป็นเหมือนที่พ่อค้า แม่ค้าหรือนักธุรกิจทั่วไม่ว่าเล็ก กลาง ใหญ่ ทากันทัง้ ประเทศ ถือเป็นค่านิยมทีปกติธรรมดาม๊ากมาก (เสียงสูง ใส่ฟิลลงิ่ ) จนไม่รู้สึกว่าต้องแก้ไขงานบัญชีใดๆให้ดีขึน้ ชีวิตครอบครัวเราก็แสนสบายมีกิน มีใช้ พอควร (ประเทศชาติเป็นเช่นไร ไม่รับทราบ) คิดดูแล้วนับว่าจริยธรรมตกต่าอย่างไม่รู้ตัวเลยที่คิดแต่ตัวเองและครอบครัว พระเจ้าให้เวลาเลี้ยงลูกสาว 2 คนและเรียนรู้งานบัญชี (ใส่ถุง) ประมาณ 8 ปี ก็ทรงเริ่มการตีสอนอย่างแรง (กำลังท้องแก่ลูกชายคนเล็กซะด้วย) ปี พ.ศ. 2541 เจ้าหน้าที่สรรพากรถึง 3 รถตู้ เข้ามาตรวจสอบ ค้นรื้ออย่างใหญ่โต ด้วยข้อหาว่าสงสัยที่ร้านมีการเปิดใบกำกับภาษีปลอม (บิลผี) อันเป็นคดีธุรกิจสุดฮิตของนักธุรกิจก่อสร้างสมัยนั้น (พอดีว่าพี่ชายมีบริษัทก่อสร้างจึงถูกสงสัยว่าร่วมกับร้านค้าวัสดุก่อสร้างอย่างเรา) ที่จะขอคืนภาษีมูค่าเพิ่ม (VAT) ได้ถึง 7% ฟรีๆ ขอบคุณพระเจ้าที่ร้านเราและพี่ชายไม่ได้เป็นเช่นนั้นจึงรอดไป แต่การที่บัญชีเราไม่โปร่งใส ตัวเลขคลุมเครือ จึงโดนข้อหาอื่นๆ โดนเรียกปรับถึง 1.5 ล้านบาทข้าพเจ้าจึงแทบเป็นลมสลบทั้งยืน จะเอาที่ไหนไปจ่าย หรือถึงมีใครจะอยากจ่าย (วะ?)) ผลก็คือข้าพเจ้าและสามีเป็นทุกข์สาหัส กินไม่ได้นอนไม่หลับ ขวัญหนีดีฝ่อตลอดทั้งปี ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ (สรรพากรจะตามตัวไปจ่ายภาษีไหมหนอ) หรือได้เห็นรถตู้สีขาว(สรรพากรจะมาอีกไหมหนอ) อยากจะปิดร้านเสียดีกว่า
ข้าพเจ้าและสามีเริ่มอธิษฐานอย่างจริงจัง พระเจ้าทรงมีพระประสงค์เช่นไร เราควรทำ อย่างไรต่อไป?
พ.ศ. 2542 ในที่สุดพระเจ้าได้ส่งทูตสวรรค์มาช่วยเราอย่างคาดไม่ถึง เมื่อพี่สุนีย์ ว. ได้ตอบรับเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีคนใหม่โดยมีเงื่อนไขว่า “เราต้องเริ่มต้นทาธุรกิจการค้าใหม่อย่างถูกต้องคือจดทะเบียนร้านใหม่ แยกบัญชีใหม่ให้ชัดเจน และมีระบบบัญชีที่โปร่งใส ส่วนของเก่าค่อยๆ ชดใช้กรมสรรพากรไป”
แน่นอนเรารับการตีสอนและรับผลอย่างแรงแล้ว พระเจ้าให้โอกาสใหม่จึงรีบตอบรับการแก้ไขใหม่ ทิ้งค่านิยมเก่า มีแรงจูงใจใหม่ ตั้งใจเจตจาปรับปรุงระบบงาน และระบบบัญชีให้ทันสมัยและถูกต้องเป็นที่พอใจของทูตสวรรค์ที่พระเจ้าโปรดส่งมา ซึ่งต้องใช้เวลาอีกนับ 20 ปีถึงปัจจุบัน ที่พระเจ้าทรงขัดเกลา แก้ไขและตกแต่งธุรกิจของเราใหม่ให้เป็นที่ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าได้ ทุกวันนี้ข้าพเจ้าเสียภาษีธุรกิจตรงไปตรงมานับแสนบาทต่อเดือน ภาษีส่วนบุคคลอีกตามจริง ตามพระพรที่พระเจ้าทรงโปรดประทานให้แก่ธุรกิจของเรา แม้พระองค์เรียกร้องความถูกต้องโปร่งใส สวยงามในการทางาน แต่พระพรก็มากล้นตามมาเช่นกัน เราจึงได้ถวายธุรกิจให้ทรงเป็นเจ้าของ และแบ่งเวลากันออกมารับใช้ตามของประทาน
วิชาจริยธรรมช่วยสร้างความเข้าใจและอธิบายอย่างชัดเจนถึงจริยธรรมคริสเตียนอันเป็นจริยธรรมของพระผู้สร้าง (ที่มีซ่อนในเรา) อันมีมาตรฐานสงู นีเ้อง ทาให้เราตั้งมั่นคงอยู่ (อย่าง งงงง ตัวเอง) จนทุกวันนี ้ แถมมีหลักการเปรียบเทียบคุณค่า สร้างกำลังใจและความเข้าใจอย่างลึกซึ้งให้หนักแน่นมั่นคงและชัดเจน ( ชีวิตชัดเจนขึ้นเยอะค่ะ)
โดยมีหลักการตัดสินใจคุณค่าเป็นตัวเลขที่ชัดเจน คือ เปรียบเทียบทั้งคะแนนรวมของผลบวกและของผลลบที่เกิดขึ้น แล้วนามาพิจารณาคะแนนบวกหรือลบมากกว่ากัน เท่าไร ทำให้การตัดสินใจมีน้ำหนักอย่างชัดเจน
หลักการให้คะแนนคือ น้าหนักของคุณค่า * ความรุนแรงของเรื่อง = คะแนนผลกระทบทั้งด้านบวก และด้านลบ (น้าหนักของคุณค่าหมายถึงคุณค่าที่เป็นกฎของพระเจ้า= 3 คุณค่าที่เป็นกฏของสังคม= 2 และคุณค่าเพื่อตัวเอง= 1 และระดับความรุนแรงของเรื่องมีค่า 1-5)
คุณค่าที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ : การชำระภาษีให้ถูกต้อง พิจารณาดังนี้
1. เป็นคริสเตียนที่ดี เชื่อฟังพระเจ้า รักษาความซื่อสัตย์ตามแบบพระเจ้า
กิจการ 5:29 เปโตร.. “ข้าพเจ้าจาต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์” เอเฟซัส 2:10 เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ทาการดี ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ก่อนแล้วเพื่อให้เราดาเนินตาม กาลาเทีย 4: 19 ลูกน้อยของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าต้องเจ็บครรภ์เพราะท่านทั้งหลายอีก จนกว่าพระคริสต์จะได้ทรงก่อร่างขึ้นในตัวท่าน
เพราะพระเจ้าปรารถนาให้ข้าพเจ้าเชื่อฟังพระองค์ มีความซื่อสัตย์เช่นพระบิดามีต่อมนุษย์ ทำการดีแบบเช่นพระคริสต์ สามีและข้าพเจ้าจึงยอมรับการเปลี่ยนแปลงเมื่อถูกตีสอน เราต้องเรียนรู้ รับการเจียรนัย แล้วพลิกกลับทั้งชีวิตส่วนตัวและธุรกิจจนเติบโตได้อย่างเข้มแข็ง เรายังคงเรียนรู้และเติบโตต่อไปอีก รับการเปลี่ยนแปลงต่อไปอีกจนวันสุดท้ายของเรา น้ำหนักของคุณค่านี้เป็นกฎของพระเจ้า = 3 และ ความรุนแรงที่ต้องเชื่อฟังพระเจ้า เป็นสิ่งที่ต้องยึดถือ = 5 ผลคุณค่าที่ได้ = 15
2. รักษากฎหมายและทำให้ประเทศเจริญ
มัทธิว 22:21 ...พระองค์ตรัสกับเขาว่า "เพราะฉะนั้น ของของซีซาร์จงถวายแด่ซีซาร์ และของของพระเจ้าจงถวายแด่พระเจ้า"
การรักษาและทำตามกฏหมายบ้านเมืองเป็นสิ่งสาคัญ ถ้าประชาชนทุกคนทำตามหน้าที่พลเมืองเสียภาษีตรงไปตรงมา ถ้ารัฐบาลซื่อตรงและมีคุณภาพ ประเทศไทยจะพัฒนาไปได้เป็นอย่างดี คือขอให้ทุกคนรับผิดชอบและทาส่วนของตนให้ดี และแม้ว่าคนอื่นจะเป็นอย่างไร บุตรของพระเจ้าต้องรักษาจริยธรรมของพระเจ้าไว้ให้มั่นคงและมีชีวิตเป็นคำพยานที่ดี “ของของซีซาร์จงถวายแด่ซีซาร์ “ ข้อพระธรรมนี้ได้ฟังมาแต่เด็กข้าพเจ้าจึงต้องชาระภาษีธุรกิจตามที่ทรงตรัสสั่ง การรักษากฏหมายจึงเป็นกฏของสังคม = 2 และให้ความรุนแรงระดับ 4 เพราะมีความสาคัญสูง เป็นหน้าที่ของพลเมืองทุกคน ให้คุณค่ารวม = 8
3. ระบบบัญชีบริษัทมีความถูกต้องและโปร่งใส
ลูกา 16:10 คนที่ซื่อสัตย์ในของเล็กน้อยจะซื่อสัตย์ในของมากด้วย และคนที่ไม่ซื่อสัตย์ในของเล็กน้อย จะไม่ซื่อสัตย์ในของมากเช่นกัน
จากการทาบัญชีอย่างง่ายๆในอดีต พระเจ้าได้ให้เวลาเรียนรู้แบบผู้บริหาร (ไม่ใช่แบบนักบัญชีโดยตรง) ต่อมาจนถึงปัจจุบันนับว่ายาวนานถึงเกือบ 25 ปี ข้าพเจ้าเห็นได้ชัดว่าความชัดเจน ถูกต้องและโปร่งใสของระบบบัญชีที่ดี มีความซื่อสัตย์สุจริต หากมีความผิดปกติใดๆเกิดขึ้นก็จะเห็นได้ชัดหรือตรวจสอบได้โดยง่าย ตลอดจนการใช้คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีต่างๆเข้ามาช่วยทางานอย่างตรงไปตรงมา ถูกต้อง รวดเร็ว น่าเชื่อถือ ทาได้รับความไว้วางใจทั้งจากร้านค้า Suppliers ลูกค้า กรมสรรพากร ธนาคาร ฝ่ายบริหารและส่วนอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ช่วยให้การบริหารจัดการธุรกิจดาเนินไปได้อย่างดี อันเป็นผลให้ธุรกิจเจริญก้าวหน้า ระบบบัญชีบริษัทจึงเป็นกฎสังคม =2 และให้ความรุนแรงเป็นถึง 5 ทาให้บริษัทเจริญก้าวหน้าหรือตกต่าได้ รวมคุณค่า = 10
4. สบายใจ ไม่ต้องกลัวสรรพกรตรวจสอบ
สุภาษิต 3:6 จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า แล้วพระองค์เองจะทรงทาให้วิถีของเจ้าราบรื่น 23 แล้วเจ้าจะดาเนินในทางของเจ้าอย่างปลอดภัย และเท้าของเจ้าจะไม่สะดุด 24 เมื่อเจ้านอน เจ้าจะไม่หวาดผวา เมื่อเจ้านอน ก็จะหลับสบาย
ข้าพเจ้าเคยได้รับผลของการไม่เชื่อฟังและไม่จ่ายภาษีครบถ้วนมาแล้ว เมื่อถูกปรับนั้น ตลอดทั้งปีกินไม่ได้นอนไม่หลับ หวาดผวา วิตก กังวล ไม่มีความสุขสักเวลาเดียว มันเข็ดขยาดจริงๆ ในทางตรงกันข้าม เมื่อได้ทาให้ถูกต้องแล้วแม้ต่อมาสรรพากรบุกมาตรวจสอบที่บริษัทอีกเป็นระยะๆไม่ว่าด้วยสาเหตุใด เขาไม่สามารถหาความผิดจากเราได้ ทั้งยังให้คาแนะนา แก้ไขข้อบกพร่องเล็กน้อยให้ถูกต้องยิ่งขึ้นอีก เราจึงได้รับการเจียรนัยเรื่อยๆ ทุกปี ล่าสุดเดือนกรกฏาคม 2561 สรรพกรก็บุกมาอีก เราก็สามารถยิ้มต้อนรับเขาได้ด้วยความสบายใจ พร้อมให้ตรวจในทุกจุด เป็นที่ประหลาดใจของเขามาก เขาปรับเราไม่ได้เลย ทั้งไม่อาจเจรจาให้เราจ่ายใต้โต๊ะ หรือจ่ายพิเศษเพิ่มเติมใดๆ ฮาเลลูยา ขอพระเจ้าได้รับเกียรติในร้านของพระองค์ ดังนั้นแม้ความสบายใจจะเป็นเรื่องส่วนตัวมีน้าหนัก = 1 แต่ความรุนแรงเป็น5 คุณค่าที่ได้ = 5
5. เสียหน้าในสังคมนักธุรกิจว่า “โง่จัง จ่ายภาษีเท่าที่จาเป็นก็พอ “
สุภาษิต 3:4 จงหาความโปรดปรานและชื่อเสียงดี ในสายพระเนตรพระเจ้า และในสายตามนุษย์ สุภาษิต 9:10 ความยาเกรงพระเจ้าเป็นที่เริ่มต้นของปัญญา
การพิจารณาคุณค่าในการจ่ายภาษีอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยนั้นเกิดขึ้นเสมอๆตามแต่ใจจะพาไป (ใจมีการลังเลและคิดเสียดายเป็นพักๆ แต่ไม่ได้หยุดชาระภาษี) ในความเป็นมนุษย์ ..ถ้าเผลอมองรอบตัว แล้วมัวสาละวนนั่งนับนิ้วบวกลบตัวเลขภาษีในแต่ละปีที่รวมๆแล้ว อาจสร้าง/ซื้ออะไรๆได้เป็นชิ้นเป็นอันใหญ่ๆโตๆ ...น่านแหละ เมื่อมีการพบปะพูดคุยกับนักธุรกิจทั่วๆไป ร้านค้าต่างๆจะว่าเรา “โง่” จ่ายเงินภาษีมากทำไม? ทาไมต้องทำเช่นนั้น? อันทำให้สามีและข้าพเจ้างงตัวเองว่าทำอะไรอยู่เนี่ย แต่เมื่อนึกใคร่ครวญแล้วก็รู้ว่า เราหาความโปรดปรานจากพระเจ้าไม่ใช่มนุษย์ เราจึงดูเหมือน “โง่” ในสายตาพวกเขา แต่เรายำเกรงพระเจ้าเกินกว่าจะทำตัว “ฉลาดแบบพวกเขา” ได้ ในทางตรงข้ามกับเขา พระเจ้าให้ปัญญาในการบริหารจัดการร้านให้ถูกต้องและทันสมัยเหมือนเช่น 7/11, Homepro เป็นต้น นับว่าน่าภาคภูมิใจมาก และลูกๆก็เข้ามาพัฒนาระบบออนไลน์ด้วย เราได้วางรากฐานและส่งต่อธุรกิจให้ลูกอย่างใสสะอาดแล้ว สร้างและส่งต่อพื้นฐานจริยธรรมคริสเตียนขององค์พระผู้เป็นเจ้าแด่เขา
ข้าพเจ้าให้น้าหนักการเสียหน้าในสังคมเป็น 2 และความรุนแรง เป็น 5 เนื่องจากเรายังรู้สึกสะดุดเสมอ งง กับตัวเองบ่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อคนสนิทหรือญาติพี่น้องสอบถาม ทาไม ทาไม แต่สุดท้ายเราก็ได้ย้าเตือนตนเองประจาและมีโอกาสเป็นพยานและถวายเกียรติแด่พระเจ้าว่า “เพราะเราเป็นคริสเตียน เราจึงต้องเชื่อฟังยำเกรงพระเจ้า จิตสำนึกเราบอกว่าเราทำถูกแล้วตามที่พระเจ้าสั่งให้เราทำ แม้ดูโง่” คนอื่นก็ต้องยอมรับว่ากิจการข้าพเจ้าไปได้ดีทีเดียว คุณค่าที่เสียหน้าเสียเวลาย้ำตัวเองไปทางโลก = 10 (หลังจากวิชานี้แล้ว ความรุนแรงเรื่องนี้คงลดลงเหลือ 1-2 เท่านั้น แถมได้โอกาสเป็นพยานด้วย)
6. เสียความสะดวกสบายส่วนตัว
อิสยาห์ 32:9-18 พวกผู้หญิงที่อยู่อย่างพออกพอใจ จงตั้งใจฟัง... จงสะดุ้งตัวสั่น...เมืองจะถูกทิ้งร้าง โยบ 3:26 ข้าไม่สบายใจเลย และข้าไม่สงบ ข้าไม่ได้หยุดพัก แต่ความวุ่นวายได้มาหา ลูกา 9:25 เพราะเขาจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าได้สิ่งของสิ้นทั้งโลกแต่ทาลายหรือสูญเสียตัวเองไป มาระโก 10:25 อูฐจะลอดรูเข็มก็ง่ายกว่าคนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้า”
แม้ว่ามนุษย์จะมีทรัพย์สินเงินทองเท่าไร มักไม่รู้จักพอ หรือพอใจแต่สิ่งที่มองเห็นได้วันนี้ ชีวิตจะยิ่งห่างไกลจากพระเจ้า และมักมีเรื่องวุ่นวายเข้ามา ข้าพเจ้าคิดว่าพระเจ้าคงไม่ได้สอนให้เราจะอยู่อย่างสะดวกสบายไปเสียทุกด้าน โดยไม่เรียนรู้และไม่เตรียมพร้อมจะเผชิญความลาบากในชีวิต เพราะชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน วันนี้สุขพรุ่งนี้อาจทุกข์ ดังนั้นการทีเราเสียเงินทองชาระภาษีออกไป ก็ทาให้เราจะไม่ยึดติดกับเงินทอง ความสะดวกสบายเกินไป มีน้อยลงบ้างเพราะเราเรียนรู้แล้วในการทาหน้าที่พลเมือง เรื่องส่วนตัวมีค่า =1 แต่ทั่วไปแล้วมีความรุนแรงมากเท่ากับ 5 นับเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา คุณค่าที่เสียไป = 5
7. เสียประโยชน์และโอกาสมีทรัพย์สินเยอะๆ อันเป็นที่ยอมรับนับถือในสังคม
ลูกา16:13 ไม่มีผู้ใดเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เพราะจะเกลียดชังนายคนหนึ่งและจะรักนายอีกคนหนึ่ง หรือจะนับถือนายคนหนึ่งและจะดูหมิ่นนายอีกคนหนึ่ง ท่านจะรับใช้พระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ได้ สุภาษิต 3:9-10 จงถวายพระเกียรติแด่พระยาห์เวห์ด้วยทรัพย์สินของเจ้า และด้วยผลแรกแห่งผลิตผลทุกอย่างของเจ้า แล้วยุ้งของเจ้าจะเต็มบริบูรณ์ และบ่อเก็บของเจ้าจะล้นด้วยเหล้าองุ่นหมักใหม่ มัทธิว 6:33 แต่พวกท่านจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงนี้ให้
สังคมจะมองกันและนับถือกันด้วยทรัพย์สมบัติที่มี การยอมรับนับหน้าถือตาในสังคมเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนาแน่นอน น้าหนักของสังคม = 2 เรื่องการยอมรับนับถือนี้สาคัญนักเมื่อเรายังอยู่ในโลกนี้ โดยเฉพาะเมื่อต้องมีการปฏิสัมพันธ์ ทาการค้ากับสังคม ชื่อเสียงเราจะเสียไม่ได้เลย คุณค่าจึงเป็น 5 แต่พระเจ้ามองที่จิตใจ เมื่อเราตั้งใจติดตามพระเจ้าและซื่อสัตย์ในทรัพย์สินทั้งต่อรัฐบาล ต่อพระเจ้า เชื่อว่าพระเจ้าทรงเติมเต็มให้เราตามพระทัยพระองค์แน่นอน และเราต้องยาเกรงยกย่องพระเจ้าก่อน ไม่ใช่เงินทองหรือสังคม แต่ก็ไม่ให้ชื่อเสียงเสียหาย คุณค่าที่เสียไป = 10
8. เสียโอกาสในการเป็นผู้ให้พรแก่ผู้ด้อยกว่า
สุภาษิต 22:9 คนใจกว้างจะได้รับพระพร เพราะเขาแบ่งปันอาหารของเขาแก่คนจน ฮีบรู 13:16 อย่าละเลยที่จะทำความดี และแบ่งปันข้าวของซึ่งกันและกัน เพราะเครื่องบูชาอย่างนั้นเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า
บางครั้งข้าพเจ้าคิดว่าถ้าเรามีทรัพย์เยอะเราคงได้แบ่งปันเยอะดังพระคำสอนไว้ แต่เมื่อใคร่ครวญแล้วแหล่งที่มาของการมีทรัพย์นั้นถูกต้องหรือไม่ การทำดี แบ่งปัน แจกจ่ายโดยเอาหน้าก็ไม่ถูกต้อง ไม่ได้เป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้าแน่นอน และหน้าที่ได้ก็เป็นหน้าเรา ไม่ใช่หน้าที่พระเจ้า ดังนั้นเราไม่ควรจะยักยอกทรัพย์ไว้ให้มีเยอะเพื่อแจกจ่ายเอาหน้า พระเจ้าทรงทอดพระเนตรจิตใจ พระเจ้าทรงนับว่าเงินหญิงม่ายถวายมากกว่าคนมั่งมี ขอบคุณพระเจ้า ดังนั้นการเสียภาษีไปแล้วเหลือเงินน้อยลง ถวาย และแจกจ่ายตามกำลังจึง OK ถูกต้องแล้ว แม้จะดูว่าเสียโอกาสได้หน้าในทางโลก น้าหนักหน้าเรา = 1 ความรุนแรง = 2 คุณค่าที่เสียหาย = 2
https://image.makewebeasy.net/makeweb/0/CS3BQH7BB/Document/Duangjaicasestudy.pdf?v=202012190947