ตอน 1 สถาบันคริสต์ศาสนา” ของคาลวิน: รากฐานการพัฒนาจิตวิญญาณ

1813 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ตอน 1 สถาบันคริสต์ศาสนา” ของคาลวิน:  รากฐานการพัฒนาจิตวิญญาณ

“สถาบันคริสต์ศาสนา” ของคาลวิน:  รากฐานการพัฒนาจิตวิญญาณ

(บทความที่สะท้อนความคิดจากหนังสือ “สถาบันคริสต์ศาสนา” ของจอห์น คาลวิน (Institutes of Christian Religion  by John Calvin) )

(Julie Canlis, “Calvin’s Institutes: Primer for Spiritual Formation ” Crux: A Quarterly Journal of Christian Thoughts and Opinion Published by Regent College, Spring 2011.)                                                                            

 จูลี่ แคนลิส

อาจารย์พิเศษด้านศาสนศาสตร์  วิทยาลัยรีเจนต์
แวนคูเวอร์, แคนาดา
แปล และ เรียบเรียง: ดร. พูนสุข เชิดเกียรติกำจาย
 และ วาสนา อยู่กิ่ม


เมื่อกล่าวถึงชีวิตบนโลกนี้  คาลวินเป็นคนมีเหตุมีผล ความจริงเขาค่อนข้างเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย2 แม่ของเขาตายเมื่อเขาอายุสามขวบ พ่อที่สงบเสงี่ยมและถูกขับไล่(บัพพาชนียกรรม)ออกจากคริสตจักรเสียชีวิตในอีกทศวรรษต่อมา  ชีวิตช่วงวัยรุ่นของเขาเต็มไปด้วยปัญหาสุขภาพ เช่น ปวดหัวเรื้อรัง, อาหารไม่ย่อย และโรคหอบหืดที่รักษาไม่หาย ประสบการณ์ของเขาเปรียบเสมือนว่าเขา "หายลับไปในเขาวงกต"3 เห็นได้ชัดจากข้อเขียนที่เต็มไปด้วยความกลัวว่า "ฉันอยากจะตายเพื่อกำจัดความกลัวเหล่านั้น"4 แต่ยังมีแสงสีเงินหลังเมฆหมอกของความเปราะบางและความเหงานี้  คาลวินมีอัจฉริยะทางปัญญา เขาเข้าใจตั้งแต่ช่วงต้นแล้วว่าศาสนาไม่ได้มีเพียงเพื่อจิตใจ แต่เป็นเรื่องของความรัก สำหรับคาลวิน  ของประทานจากพระกิตติคุณไม่ใช่ในหลักคำสอนที่ถูกต้อง แต่เป็นความสามารถในการเจาะลึกลงไปถึงหัวใจและอารมณ์   และแน่นอนถึงขั้นเปลี่ยนแปลงพวกเขา

คาลวินไม่ค่อยพูดมากเกี่ยวกับประสบการณ์การกลับใจใหม่5   เราจึงรู้น้อยเกี่ยวกับชายหนุ่มที่มีระเบียบวินัย และ“เก็บตัว”อย่างเขาว่าถูกเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่เราทราบคือเขากลับใจไป”สู่พระคริสต์” ไม่ใช่ไปสู่ความคิดแห่งการปฏิรูป หรือสู่วิธีของมนุษยนิยมของนักวิชาการพระคัมภีร์ ไม่ใช่เพื่อทำให้การปฏิบัติพิธีบูชาขอบพระคุณ เป็น “ของแท้" มากขึ้นด้วย   แต่ไปสู่พระเยซูคริสต์เอง  และนี่คือทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับคาลวิน นี่เป็นศูนย์กลางในการดำเนินงานของเขา และศูนย์กลางสำหรับทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับศาสนศาสตร์ของเขา และนี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญ  คาลวินเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงของจิตใจและชีวิตของคนเกิดขึ้นตรงนี้  คือในความสัมพันธ์กับพระเยซูคริสต์อย่างต่อเนื่อง

การรู้จักพระเยซูไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถประกาศตัวเองและกำหนดวันเวลา (เช่นที่คาลวินปฏิเสธการประกาศตนและกำหนดวันเวลาที่เปลี่ยนแปลงตัวเขาเอง) แล้วแสดงผลในบันทึกฝ่ายจิตวิญญาณ6 จากมุมมองของคาลวิน มันเป็นรูปแบบใหม่ของการมีชีวิตและดำเนินชีวิต และอยู่ในรูปของการเป็นบุตร “การถูกรับว่าเป็นบุตร” ไม่ได้เป็นแค่นำสู่ความรอดเท่านั้น แต่เป็นความรอดทั้งหมด7  ความชัดเจนและการอภิปรายที่เป็นประโยชน์ในศาสนศาสตร์ของคาลวินจะสูญเสียไปเมื่อมันหันเหออกจากเรื่องการเป็นบุตร  ทั้งเรื่องการเป็นบุตรของพระเยซู และการถูกรับเป็นบุตรของเรา8 ถ้าเราจะอ่านศาสนศาสตร์คาลวินตามเจตนารมณ์ของความตั้งใจสำหรับการพัฒนาจิตวิญญาณแล้ว9 ก็จะต้องเริ่มต้นที่จุดนี้  ตรงที่คาลวินเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงในเรื่องการเป็นบุตร

 

“สถาบันคริสต์ศาสนา” ของคาลวิน : รากฐานการพัฒนาจิตวิญญาณ 

“สถาบันคริสต์ศาสนา” ของคาลวินไม่ได้ทำให้คนจำนวนมากหันมาหาความเข้าใจของการพัฒนาจิตวิญญาณ   ซึ่งภายหลังได้กลายเป็นข้อถกเถียงและศึกษาหลักคำสอนของศาสนาเพื่อเพิ่มเติมความเชื่อของตน เสมือนกับคู่มือถามตอบปุจฉาวิสัชนา (ตามแบบอย่างคำถามและคำตอบที่ใช้ในการสอนถึงหลักการของศาสนาคริสต์ตามรูปแบบคำสอนของลูเธอร์) โดยมีเจตนาให้คริสเตียนที่ถูกข่มเหงมีความเชื่อและการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง หลายปีที่หนังสือ “สถาบันคริสต์ศาสนา” เล่มนี้พัฒนาไป (จากหกบทกลายเป็นแปดสิบบท) และถึงจุดอิ่มตัว (1536-1559) วัตถุประสงค์เดิมของคาลวินไม่เคยแปรเปลี่ยน เขามีความปรารถนาไม่เพียงเพื่อให้คนมีความเชื่อเข้าใจพระกิตติคุณอย่างถูกต้อง, แต่ทำให้พระกิตติคุณ "เข้าสู่ชีวิตประจำวันและเปลี่ยนแปลงเราอย่างมีระบบ"(III.6.4) คาลวินผู้ซึ่งได้รับการชื่นชมในภายหลังดูเหมือนเขาเกิดผิดยุคสมัย สำหรับเขาคำสอนไม่ได้เป็นแค่หลักในการสื่อสารความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้า แต่เป็นประสบการณ์เฉพาะตัวของพระกิตติคุณ ก่อนอื่นและสำคัญที่สุดต้องไม่ลืมว่าคาลวินเป็นศิษยาภิบาลผู้มีเจตนาในการพัฒนาคน “เพื่อ” และ “โดย” การมีส่วนร่วมกับพระเยซูคริสต์

“สถาบันคริสต์ศาสนา” ทำให้ก่อเกิดสุดยอดอัญมณีเมื่ออยู่ภายใต้การวิเคราะห์อันถี่ถ้วน แต่เฉกเช่นพระคัมภีร์มีเพชรปิดซ่อนอยู่ซึ่งจะถูกค้นพบเมื่ออ่านทั้งเล่มรวดเดียวจบ  ฉันไม่เคยลืมประสบการณ์จากการอ่านหนังสือวิวรณ์คราวเดียวจบ เมื่อฉันเห็นป่าเป็นครั้งแรก แทนที่จะเห็นต้นไม้   มันมีแนวทางและความแตกต่างใน“สถาบันคริสต์ศาสนา”ของคาลวิน ซึ่งอาจถูกขัดขวางโดยการวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนและการพิจารณาที่ละเอียดละออ แม้เราจะไม่ได้หายใจเป็นหนังสือทั้งหมดเล่มในทีเดียว แต่ด้วยการหายใจและการพ่นลมหายใจที่พอเหมาะออกมา อาจด้วยเหตุนี้หนังสือเล่มนี้จึงไม่ค่อยถูกใช้สำหรับการอภิบาลพัฒนาจิตวิญญาณ แม้ชัดเจนว่าฉันไม่เคยอ่าน“สถาบันคริสต์ศาสนา” จบในวันเดียว นับประสาอะไรกับสัปดาห์ (ไม่เพียงเพราะฉันมีเด็กเล็กๆ) ฉันอยากแนะนำให้พิจารณาในมุมกว้างสำหรับการบำรุงเลี้ยงชีวิตภายในของเรา ซึ่งอย่างน้อยคาลวินน่าจะเห็นด้วย



การพัฒนาจิตวิญญาณ : ในบริบทเรื่องตรีเอกานุภาพ

เมื่อวิเคราะห์ “สถาบันคริสต์ศาสนา” อย่างละเอียดแล้ว  สิ่งที่มักจะมองข้ามคือโครงสร้างของงาน  ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ให้เบาะแสสำคัญเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ของคาลวินสำหรับชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ  เขาลองปรับการกำหนด 

“สถาบันคริสต์ศาสนา” มานานกว่าสองทศวรรษ จนสุดท้ายเขาจัดให้เป็นหนังสือสี่ตอนใหญ่ๆ เกี่ยวกับพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ และคริสตจักร จากโครงสร้างสุดท้ายนี้เขาเขียนว่า “ถึงแม้ฉันไม่เสียใจกับแรงงานที่ทุ่มเทใช้ใป ฉันไม่เคยพอใจจนกระทั่งงานที่ทำได้รับการจัดลำดับออกมาแบบนี้”10 คาลวินน่าจะพูดว่า พระคัมภีร์ไม่ได้เปิดเผยธรรมชาติของพระเจ้า แต่แสดงให้เห็นการจัดการของพระองค์ในการแสดง "พระเมตตากรุณา" ต่อเรา ตลอดพันธสัญญาเดิมมีเรื่องพระเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อมนุษยชาติ  พระเมตตาบรรลุจุดสูงสุดในพระคริสต์และกางเขนของพระองค์ ดังนั้นแม้คาลวินจะใช้พระตรีเอกานุภาพเป็นโครงสร้างของหนังสือ    แต่ไม่ได้เป็นโครงสร้างแบบนามธรรม11  มันเป็นเรื่องพระเจ้าองค์ตรีเอกานุภาพที่มามีความสัมพันธ์ต่อเรา  ตรีเอกานุภาพไม่ได้เป็นหลักการจัดระเบียบสำหรับผู้ที่สนใจ มันเป็นเรื่องส่วนตัวที่ลึกซึ้งที่เรียกร้องชีวิตของผู้อ่าน  คาลวินกล่าวว่าในพระกิตติคุณเรามี "หัวใจของพระคริสต์ที่เปิดออก"12 ให้เรา ซึ่งเป็นการเปิดเผยถึงแก่นของตรีเอกานุภาพ

คาลวินแสดงโดยวิธีที่เขาจัดโครงสร้าง“สถาบันคริสต์ศาสนา”  เขาประกาศว่าทุกอย่างต้องเริ่มต้นจากองค์ตรีเอกานุภาพ  ก่อนเราเข้าสู่หน้าแรกของหนังสือคาลวิน   ตรีเอกานุภาพก่อรูปความเข้าใจของคาลวินว่าเรามาจากไหนและเราจะไปไหน  หนังสือของเขาจุดประกายความเชื่อเรื่องตรีเอกานุภาพที่ทรงพระชนม์โดยไม่ต้องประกาศตัว พระเจ้าผู้เป็นบุคคล  ผู้ซึ่งอยู่ข้างบน อยู่ข้างหน้า อยู่ล่วงหน้า  ภายหลัง และรอบๆตัวเรา  รัก​​เรา เรียกหาเรา เป็นลมหายใจแห่งชีวิตในความเป็นมนุษย์ของเรา “สถาบันคริสต์ศาสนา” เล่มนี้แสดงให้เห็นอย่างแน่วแน่ถึง พระบิดา(เล่ม I)  ผู้สร้างเราสำหรับความรักและสามัคคีธรรม และทำให้พระวาทะรับกายเป็นพระเยซูผู้เป็นพระบุตรแท้จริง(เล่ม II)   ที่มาไถ่เราจากความบาป และแสดงให้เราเห็นถึงสามัคคีธรรมแบบที่ควรเป็น  พระวิญญาณบริสุทธิ์ (เล่ม III) ได้แสวงหาอย่างต่อเนื่องเพื่อก่อร่างชีวิตของพระเยซูพระบุตรเข้าสู่ชีวิตที่แตกหักของเราเพื่อให้เราสามารถเป็นเหล่าบุตรของพระเจ้าอย่างแท้จริงในคริสตจักร(เล่ม IV) มีชีวิตครอบครัวเพื่อตอบสนองต่อพระคุณขององค์ตรีเอกานุภาพ เราเริ่มเห็นจากจุดนี้ว่าสำหรับคาลวิน  องค์ตรีเอกานุภาพไม่ได้เป็นบททดสอบหลักความเชื่อที่ถูกต้อง หรือปริศนาทางคณิตศาสตร์ที่เราจะต้องเชื่อ  แต่เป็นพระเจ้าที่เราต้องก้าวเข้าไปหา  นี่เป็นประสบการณ์ของชีวิตคริสเตียน ตรีเอกานุภาพเป็นเงื่อนงำและกุญแจของการพัฒนาจิตวิญญาณของเรา เป็นทั้งหนทางและเป้าหมายสุดท้าย

ตรีเอกานุภาพให้มากกว่าแค่เป็นรูปแบบขององค์ประกอบที่มีประโยชน์สำหรับรากฐานของศาสนศาสตร์คาลวิน  ตรีเอกานุภาพทำให้ศาสนศาสตร์ของคาลวินมีธรรมชาติแห่งความเป็นส่วนตัว  ลูเธอร์เป็นผู้บุกเบิกคำสอนแบบถามตอบเพื่อเปิดหนทางให้คนเป็น "เจ้าของ" ความจริงของพวกเขา เพื่อนำพาศาสนศาสตร์ออกไปจากโบสถ์และนำสู่การดำเนินชีวิตประจำวันและการประพฤติปฏิบัติของพวกเขา (ตัวอย่างเช่น ปุจฉาวิสัชนาในปี 1549 ของคริสตจักรอังกฤษเริ่มต้นด้วยคำถามว่า "คุณชื่ออะไร" บ่งชี้ว่าคำสอนแบบปุจฉาวิสัชนาเกี่ยวข้องอย่างมากกับความเชื่อส่วนบุคคล)13  ในหลายปีที่เขาทำงานหนักเพื่อ “สถาบันคริสต์ศาสนา”  คาลวินเริ่มหันออกจากโครงสร้างคำสอนแบบปุจฉาวิสัชนาของลูเธอร์ไปสู่โครงสร้างความเชื่อเรื่องตรีเอกานุภาพ14  ถึงแม้เราจะไม่รู้เหตุผลทั้งหมดว่าทำไม ฉันอยากแนะนำว่าในการทำเช่นนั้น คาลวินวางรากฐานที่หนักแน่นเพื่อให้เป็นความเชื่อเฉพาะตัว สำหรับคำสอนแบบปุจฉาวิสัชนา (และการปฏิบัติทางจิตวิญญาณที่เป็นประโยชน์อื่นๆ) ไม่ได้เป็นหลักประกันความเชื่อเฉพาะตัวของเรา แต่พระเจ้าทรงเป็น

หลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพบอกเราว่า   ทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำเป็นเรื่องของบุคคล  เนื่องจากพระเจ้าทรงเป็นสามบุคคล  ที่มนุษย์สามารถรับได้ด้วยวิธีแบบบุคคลเท่านั้น  มันไม่ใช่เราที่ทำให้พระกิตติคุณเป็นของเฉพาะบุคคล  ในทางตรงข้ามพระเจ้าทรงเป็นบุคคลนิรันดร์  พระองค์ทรงเป็นความรัก   ผู้ทรงให้พระกิตติคุณแก่เรา ฉันไม่อยากเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการเข้าใจผิดที่นี่ เราสามารถเข้าร่วมกับพระกิตติคุณได้โดยธรรมชาติส่วนบุคคลนิรันดร์ โดยการอุทิศชีวิตเรา  เราต้องเข้าร่วมกับมัน นอกจากยอมให้พระเจ้าปรับแต่งเราโดยส่วนตัว เราจะพยายามและโดยความเชื่อ”เฉพาะตัว”ของเราผ่านการเอาจริงเอาจังและอารมณ์ของเรา บ่อยครั้งที่ "ความเฉพาะตัว"ของพระกิตติคุณกระชับแน่นผ่านความหมายลำดับที่สอง เช่น ความซาบซึ้งในความรอด หรือความรู้สึกถึงการสถิตอยู่ของพระเจ้าของแต่ละคน หรือการทรงเรียก มีสิ่งยอดเยี่ยมหลายอย่าง แต่ทว่าเป็นหลักประกันเท็จ ในทางตรงข้ามสิ่งเดียวที่สามารถรับประกันลักษณะความเชื่อเฉพาะตัวของเราคือตัวตนของพระเจ้า น่าขันพอสมควรกับการ "กำหนดความเฉพาะตัว" ความเชื่อของเราที่มักสิ้นสุดลงในการไม่มีตัวตน เพราะเราเริ่มมุ่งเน้นในตัวเองเกินไป คาลวินตำหนิว่า "มันไม่เหมือนศาสนศาสตร์ที่ต้องจำกัดขอบเขตให้คนคิดถึงแต่ตัวเอง .. เพราะเราเกิดมาสำหรับพระเจ้าและไม่ใช่สำหรับตัวเรา" 15การจำกัดขอบเขตการดำรงอยู่ของเราโดยรอบๆตัวตนของพระเจ้า ที่เป็นพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์  เพื่อให้เราแน่ใจว่า "จิตวิญญาณของเรา"(หรือ"ศรัทธา") ยังคงเป็นของเฉพาะตัวและในลักษณะเฉพาะตัว ความสัมพันธ์นำเรา"เข้าสู่"หนังสือเล่มนี้

 

การพัฒนาจิตวิญญาณโดยการมีส่วนร่วมกับพระคริสต์

คาลวินนำโครงร่างความเชื่อในตรีเอกานุภาพไปสู่สภาพความเป็นจริง และความเข้าใจในพระเจ้า และ "ความเฉพาะตัว"ของพระองค์  กำหนดวาระจากการมีส่วนร่วมในชีวิตของพระเจ้า  สำหรับคาลวินมีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่เข้าสู่ชีวิตทางจิตวิญญาณนั่นคือพระเยซู พระองค์ทรงเป็นจุดเริ่มต้นของเรา การติดต่อกับพระเจ้าทั้งหมด ของขวัญทั้งหมดจากพระเจ้า ทุกการอธิษฐาน ทุกความสงบสุข ทุกพันธกิจ ทุกความศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหมดนี้ให้กับเราโดยผ่านพระเยซู  เหตุผลว่าทำไม เพราะคาลวินเชื่อมาตลอดว่านี่คือ "กฎธรรมดา" นี่เป็นวิธีทำงานของความเชื่อเรื่องตรีเอกานุภาพของพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้ทำสิ่งต่างๆในระยะห่าง พระองค์เป็นส่วนบุคคลและทุกสิ่งเกี่ยวกับความเชื่อของคริสเตียนของเรา ลึกจนถึงแก่น เราต้องเผชิญหน้ากับพระองค์  พระองค์ทรงดูแลเราเช่นเดียวกับที่ทรงทำกับอาดัมและเอวาที่เพลิดเพลินกับประโยชน์ทั้งหมดที่ได้รับจากพระเจ้า เพราะแม้จะอยู่ในสวน พระคริสต์ทรงเป็น"คนกลาง"หรือ"จุดกึ่งกลาง"ระหว่างพระเจ้าและพวกเขา16  เพราะพระคริสต์หนึ่งเดียวเท่านั้นเราจึงได้รับทุกสิ่งจากพระเจ้า    และจากศูนย์รวมความคิดของคาลวิน   เราได้รับพระเจ้าเอง

งานใหญ่ของพัฒนาการทางจิตวิญญาณเริ่มต้นที่การตระหนักถึงความเป็นไปได้นี้เพื่อพระคริสต์รอบๆตัวเรา  การพัฒนาจิตวิญญาณใน“สถาบันคริสต์ศาสนา” ไม่ได้วนอยู่รอบการประพฤติปฏิบัติทางจิตวิญญาณ และไม่ได้เริ่มต้นด้วยความเข้าใจในพระคุณและของประทานที่พระเจ้าปรารถนาให้เรา   ของประทานนี้คือตัวพระเยซูเอง  เราเข้าสู่โลกที่พระคริสต์ทรงอยู่เต็มสมบูรณ์     "จิตวิญญาณ"ทั้งหมดที่เรามีคือการพบกับพระคริสต์ คาลวินไม่ต้องการให้เราอ่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาอยากให้เรายกย่องความใกล้ชิดของพระคริสต์กับเราและรอบๆตัวเราแทน เขาอยากให้เราสำนึกว่าทุกสิ่งที่เราทำนั้นส่งผลให้มีการนมัสการ (คาลวินอับอายต่อการนอกลู่นอกทางของเขา  แต่จำเป็นที่เราต้องเข้าใจว่าคาลวินไม่ได้ต่อต้านรูปปั้นและสัญลักษณ์ทางกายภาพที่แสดงถึงการมีพระเจ้าในพวกเขาและของพวกเขา  เขาเกลียดความจริงที่พวกเขาประนีประนอมกับความใกล้ชิดของพระเจ้า เกลียดความจริงที่คนเชื่อว่าพระเจ้าจะหลุดไกลออกไป ความรู้สึกโชคดีที่ได้ใกล้ชิดธรรมิกชนและภาพลักษณ์ของธรรมิกชนของพวกเขามากกว่าพระเจ้าที่อยู่ห่างไกล) คาลวินต้องการให้ผู้คนเข้าใจพระเยซู  องค์ประกอบที่เต็มด้วยความเป็นจริงของเรา17 และทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเราได้จากมือพระเจ้าที่หยิบยื่นให้เราในการมีส่วนกับพระองค์อย่างไร

ถ้าหนังสือเล่ม I ของเขาเกี่ยวข้องกับที่พระคริสต์ทรงเป็น"จุดกลาง" หรือ "คนกลาง" ของการทรงสร้างทั้งหมด เล่ม II  แสดงให้เห็นหลังการล้มในความบาปของมนุษย์  พระเยซูกลายเป็นคนกลางในรูปแบบใหม่อย่างไร สามารถมองงานเขียนของคาลวินว่าเป็นการคร่ำครวญอย่างใหญ่หลวงสำหรับสิ่งที่มนุษยชาติควรจะเป็น แต่นับเป็นความผิดพลาดที่จะดึงการใช้ภาษารุนแรงของคาลวินที่ใช้เกี่ยวกับความบาปออกไปจากสิ่งที่เขาเชื่อว่าคือบริบทแท้จริงของมัน    ความจริงที่ว่าบาปของเราได้รับการชดใช้ที่กางเขน (ด้วยเหตุนี้ คาลวินปฏิเสธที่จะพูดคุยถึงผลกระทบของการการล้มในความบาปภายใต้หนังสือเล่ม I ที่เกี่ยวกับหลักข้อเชื่อเรื่อง "การทรงสร้าง"แต่รอจนกระทั่งเล่ม II และเรื่องราวของการไถ่บาป) คาลวินเชื่อว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่พระเจ้าทรงปรารถนาจะประทานให้มนุษยชาติ แต่ตอนนี้สิ่งที่พระเจ้าต้องการให้ต้องอาศัยรูปแบบพระคริสต์  ต้องพึ่งพาพระลักษณะของพระเยซู ความเป็นมนุษย์ การเชื่อฟัง และ เหนือสิ่งอื่นใด ความสัมพันธ์ของพระองค์กับพระบิดา18 นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงปรารถนาให้แก่มนุษย์ผู้สะดุดล้มลง และด้วยเหตุนี้พระคริสต์จึงต้องเสด็จลงมาในโลกนี้   เพื่อทำลายอำนาจบาป โรคร้าย และการทำลายล้าง  เพื่อจะสามารถกลายมาเป็นของเรา "พระคริสต์ไม่ทรงมีสิ่งใดที่ไม่อาจนำไปประยุกต์ใช้เป็นประโยชน์ของเราได้”19  พระเยซูทรงดำเนินชีวิตเพื่อจุดประสงค์ให้มนุษยชาติสามารถนำทุกเหตุการณ์ในชีวิตของพระองค์ไปใช้และทำให้เขาเป็นคนใหม่ได้20

ดังนั้นเราจะเข้าสู่ผลประโยชน์ที่ได้มาด้วยความยากลำบากนี้อย่างไร เราจะมีประสบการณ์ในการไถ่บาปของพระเยซูได้อย่างไร ในทุกบูรณาการและด้วยของประทานทั้งหมด  วิธีแก้ปัญหาของคาลวินนั้นง่าย เรารับตัวตนของพระเยซู และให้พระเยซู "ประดับประดา" เราด้วยของประทานทั้งหมดของพระองค์21 เล่ม III อุทิศสำหรับคำถามนี้

 

    ตอนนี้เราต้องตรวจสอบคำถามนี้  เราได้รับผลประโยชน์เหล่านั้นซึ่งพระบิดาให้แก่พระบุตรเท่านั้นอย่างไร ไม่ใช่สำหรับพระคริสต์ใช้เอง แต่พระองค์ทรงทำให้คนยากจนและขัดสนดีขึ้น  อันดับแรกเราต้องเข้าใจว่าตราบใดที่พระคริสต์ไม่ได้อยู่กับเราและเราจะแยกออกจากพระองค์แล้ว ทั้งหมดที่พระคริสต์ทรงทรมานและทำเพื่อความรอดของมนุษยชาติยังคงไร้ประโยชน์และไร้ค่าสำหรับเรา ดังนั้นเพื่อแบ่งปันกับเราในสิ่งที่พระองค์ทรงได้รับจากพระบิดา พระคริสต์ต้องกลายมาเป็นของเราและอยู่ภายในตัวเรา ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงถูกเรียกว่า "ศีรษะของเรา"... นอกจากนี้เรายังถูก "ปลูกถ่ายเข้ากับพระคริสต์"... ดังที่ฉันได้กล่าวไปแล้วว่าสิ่งที่พระคริสต์ทรงเป็นเจ้าของ จะไม่มีค่าอะไรกับเรา จนกว่าเราเติบโตขึ้นเป็นร่างกายหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ (III.1.1)


คาลวินเป็นอะไรที่ชัดเจนอย่างมาก เราไม่ได้เลียนแบบพระเยซู เราไม่ให้สติปัญญายอมรับรู้ถึงพระเยซู เราต้องไม่รับของประทานของพระเยซู เสมือนกับว่าสิ่งเหล่านี้ "ถูกมอบให้เรา" เพื่อแยกเราจากพระองค์22 เราจะ "เติบโตเป็นส่วนหนึ่งในกาย" ของพระองค์ เราจะได้รับสิ่งที่คาลวินนิยามในสองสามบทต่อมาว่า "การเข้าร่วมกันของศีรษะและร่างกาย ที่ทรงสถิตของพระคริสต์ในจิตใจของเรา  พูดสั้นๆ เป็นการมีส่วนร่วมที่ลี้ลับ” (III.11.10) นี่คือวิสัยทัศน์ของคาลวินสำหรับชีวิตทางจิตวิญญาณและสิ่งที่ประกอบเข้าด้วยกัน "การมีส่วนร่วมที่ลี้ลับ"กับพระคริสต์ คาลวิชี้ชัดว่าสิ้นพระชนม์และการคืนพระชนม์ของพระคริสต์ไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระคริสต์ในอดีตที่ผ่านมา หรือที่เราสามารถเลียนแบบในขณะนี้ โดยอาศัยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราเข้ามามีส่วนร่วมในการสิ้นพระชนม์และการคืนพระชนม์ของพระคริสต์ (II.16.8)23  พระพรแห่งความรอดทั้งหมดมีไว้สำหรับเราผ่านทางการมีส่วนร่วมกับพระคริสต์ พระเจ้าทรงทำโครงสร้างความรอดของเราที่ทุกอย่างที่เราจำเป็นต้องมีนั้นมีพร้อมอยู่ในการมีส่วนร่วมกับพระคริสต์ พระเจ้าไม่ได้แบ่งแยกของประทานที่ให้เราออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย – การมีเหตุผล การล้างบาป สันติสุข สติปัญญา    แต่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้เมื่อเรามีส่วนร่วมกับผู้ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งเหล่านี้ คือพระเยซู การมีส่วนร่วมกับพระคริสต์เป็นปัญญาที่ป้องกันมิให้ของประทานที่มอบให้แยกออกจากผู้ให้ งานของพระคริสต์จากคนของพระคริสต์ ซึ่งเกรงว่าเรากลายเป็นเช่นบรรดาผู้ที่คาลวินกล่าวอย่างดูถูกว่า "พวกเขาแสวงหาในพระคริสต์เพื่อสิ่งอื่นนอกเหนือไปจากตัวพระคริสต์เอง"24 พึงระวังไว้ว่า เมื่อใดก็ตามที่ศาสนศาสตร์คาลวินแยกออกจากพระคริสต์ เราก็เสี่ยงจะเข้าใจศาสนศาสตร์ทั้งหมดของเขาผิด ศาสนศาสตร์ของคาลวินจะมีมุมมองที่ดีเมื่อแผ่ออกมาจากศูนย์กลาง (จากบุคคลเท่านั้น) มากกว่าจะเป็นความคืบหน้าในด้านระนาบของเหตุการณ์  ที่คุกคามทำลายสิ่งที่คาลวินให้ความสำคัญกับความใกล้ชิด ความเฉพาะตัว และความสัมพันธ์25

 

[1] เชิงอรรถทั้งหมดให้ดูที่ท้ายต้นฉบับภาษาอังกฤษ (หน้า 26-28)
(มีต่อ ตอน 2 ชื่อบทความเดียวกัน)

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้